แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) แล้วใช้แสดงใบสินค้าต่อพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 โดยแสดงตนเป็นคนอื่นนั้น ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นตามมาตรา 342 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 264, 265, 268, 335, 357, 341, 342, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคหนึ่ง, 265, 268, 342 (1), 83, 80 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ จึงคงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเวลากระทำความผิดว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดในวันที่ 16 ตุลาคม 2536 เวลากลางวัน โดยไม่ได้ระบุว่า ความผิดฐานใดกระทำในเวลาใดให้ชัดแจ้ง การบรรยายฟ้องดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในคราวเดียวกันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำคนละคราวอันจะเป็นความผิดหลายกรรม และการบรรยายฟ้องในลักษณะดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 เรียงกระทงความผิดจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. และ ป.อ. มาตรา 90 นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องข้อ 1.3 ของโจทก์ โจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวนำไว้ในเบื้องต้นแล้วว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2536 เวลากลางวัน หลังจากจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.2 แล้วก่อนที่จำเลยทั้งสองจะถูกจับกุมตัว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท หลายกรรมต่างกันดังการกระทำทั้งหลายที่โจทก์ได้บรรยายต่อมาในฟ้องข้อ 1.3 (ก) (ข) (ค) ตามลำดับ ตามคำบรรยายฟ้องในแต่ละข้อดังกล่าวมานั้นเห็นได้ชัดว่า โจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำตลอดจนถึงเจตนาของจำเลยทั้งสองในแต่ละขั้นตอนที่โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดในลักษณะใดฐานใดมาโดยชัดแจ้ง ตลอดจนคำขอให้ลงโทษท้ายฟ้อง โจทก์ก็ระบุมาตราที่ประสงค์จะให้ลงโทษมาด้วยถือได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายแล้ว ส่วนเมื่อศาลพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานใดบ้าง ต้องลงโทษฐานใดเพียงใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาปรับบทและลงโทษจำเลยให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 90, 91 และ ป.วิ.อ. มาตรา 185, 192 การพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ที่พิพากษามานั้นจึงหาเป็นการขัดต่อกฎหมายแต่ประการใด ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น…
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม ฉ้อโกง และพยายามฉ้อโกงหรือไม่นั้น เห็นว่า สำหรับข้อหาปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของกลางนั้น คดีคงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าของบัตรเครดิตของกลางและลายมือชื่อในบัตรเครดิตของกลางมิใช่ลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมใด ๆ มาเบิกความยืนยันให้มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมหรือร่วมปลอม ลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของกลาง ฉะนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ปลอมหรือร่วมกันปลอมบัตรเครดิตของกลางโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของกลางโดยผู้เสียหายที่ 2 มิได้ยินยอม ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) โดยผู้เสียหายที่ 2 มิได้ยินยอม แล้วจำเลยที่ 2 นำไปใช้ซื้อสินค้าจากพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 นั้น โจทก์มีพยานยืนยันฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) ในการซื้อเสื้อยืดจากพนักงานขายจริง โดยสรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) แล้วใช้แสดงใบสินค้าต่อพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 โดยแสดงตนเป็นคนอื่นอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นตามมาตรา 342 (1) ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมและใช้เอง จึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 แต่กระทงเดียวตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคสอง และมีความผิดตามมาตรา 342 (1) แต่ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 เป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 342 (1) จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่กระทงเดียว จำคุก 6 เดือน และให้ยกฟ้องข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.