คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นหลานและอาศัยอยู่กับจำเลยต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยผู้อื่นจึงได้พูดจาตักเตือนจำเลย จำเลยโกรธและพูดว่า “ข้าวน้ำมึงไม่ต้องกิน ไอ้แก่หัวหงอกมึงอยู่ที่ไหนได้ก็ให้ไป” การที่จำเลยพูดกับโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าและขับไล่โจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ยกที่ดิน 2 แปลง วัว 21 ตัวให้จำเลยซึ่งเป็นหลานโดยเสน่หา ต่อมาจำเลยทอดทิ้งไม่อุปการะโจทก์และด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงขอให้พิพากษาเพิกถอนคืนการให้ทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามฟ้องทั้ง 2 แปลงคืนให้โจทก์ คำขออื่นให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า หลังจากโจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยแล้ว ต่อมาทราบว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยนายแดง โจทก์เกรงว่าทรัพย์ที่ยกให้จะสูญไป ในวันเกิดเหตุต้นปี 2527 โจทก์ได้พูดตักเตือนจำเลย จำเลยโกรธจึงด่าว่าและขับไล่โจทก์ว่า “ข้าวน้ำมึงไม่ต้องกิน ไอ้แก่หัวหงอก มึงอยู่ที่ไหนได้ก็ให้ไป” โจทก์เสียใจออกจากบ้านจำเลยไปร้องให้ที่ฟาร์มไก่ของนายสี ต่อมาพบนายโทนายโทพาไปส่งบ้านนางสินบุตรสาวโจทก์….เห็นว่า นายจินดาก็ดี นายถวิลและนายเล้ง ก็ดี ต่างเป็นบุคคลภายนอกไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยโดยเฉพาะนายถวิลและนายเล้งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเป็นไปของลูกบ้านได้เบิกความถึงการที่โจทก์ได้บอกให้ทราบถึงสาเหตุที่ต้องออกจากบ้านจำเลย คำเบิกความของบุคคลดังกล่าวจึงมีน้ำหนักทั้งยังสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของโจทก์….พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงกว่าพยานหลักฐานของจำเลยเชื่อว่าจำเลยได้พูดหมิ่นประมาทและขับไล่โจทก์ให้ออกจากบ้านจำเลยจริงการที่จำเลยพูดกับโจทก์ด้วยถ้อยคำว่ามึงและด้วยถ้อยคำว่าอ้ายแก่หัวหงอกกับขับไล่โจทก์นั้น ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ศาลอุทธรณ์พิพากษาถอนคืนการให้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share