แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวดังกล่าวพ้นจากการจับกุม ย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง แยกการกระทำต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นความผิดกรรมเดียวตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย แต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสี่ให้ถูกต้องโดยไม่แก้โทษ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสี่ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และมีอำนาจวินิจฉัยไปถึงจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ที่มิได้ฎีกาได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 11, 63, 64 ป.อ. มาตรา 33, 83, 91, 92 ริบของกลาง และนับโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6919/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 และที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63, 64 (ที่ถูกมาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง) ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 1 ปี ฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี นับโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2547 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2547 ของศาลชั้นต้นและขอริบของกลางนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวในส่วนของจำเลยที่ 1 ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาเพราะจำเลยที่ 1 หลบหนี และของกลางที่โจทก์ขอริบ ศาลได้มีคำพิพากษาริบไว้ในคดีก่อนแล้ว จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกคนละ 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยทั้งสี่กับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นนั่งโดยสารไปในรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน นค 241 ปทุมธานี และใช้รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บษ 1037 ชลบุรี ขับนำหน้ารถยนต์กระบะที่ใช้บรรทุกคนต่างด้าวในลักษณะเป็นขบวน เพื่อนำทางและหลบหลีกการตรวจค้นจับกุมของเจ้าพนักงาน เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวดังกล่าวพ้นจากการจับกุมย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง สามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้ ทั้งจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพตามฟ้อง การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทนั้นจึงเป็นการมิชอบ แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสี่ให้ถูกต้องโดยไม่แก้โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามา เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสี่ ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และมีอำนาจวินิจฉัยไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ที่มิได้ฎีกาได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.