แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความที่จะพึงเห็นได้ว่าโจทก์หาว่าจำเลยกระทำการมิชอบไม่สอบสวนพยานบุคคลที่โจทก์อ้าง จำเลยเสนอรายงานสรุปผลการสอบสวนอันเป็นเท็จและไขข่าวแพร่หลายผลการสอบสวนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นความผิดทางอาญาต่อโจทก์ กรณีของโจทก์จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ใช้อายุความคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา51 แต่ต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
โจทก์ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ทราบเหตุคดีนี้เมื่อวันที่ 25 เมษายน2528 เพราะอธิการวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชให้โจทก์ดูสำเนาหนังสือซึ่งกองทัพภาคที่ 4 ส่งมาโจทก์ได้อ่านข้อความในรายงานข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยเป็นผู้ส่งมาด้วย จึงน่าเชื่อว่าโจทก์รู้ถึงการกระทำของจำเลยตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2528 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2529คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ โจทก์ได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อกองทัพภาคที่ ๔ และกองทัพบกว่า พันตรีกำพล จารุสาร ข่มขืนกระทำชำเราเพื่อประสงค์ให้ผู้บังคับบัญชาของพันตรีกำพล พิจารณาลงโทษทางวินัยต่างหากนอกเหนือจากความผิดอาญา ซึ่งโจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว ต่อมากองทัพภาคที่ ๔ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่โจทก์ร้องเรียน มีจำเลยร่วมเป็นกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนทั้งหมด จำเลยในฐานะพนักงานสืบสวนสอบสวนดังกล่าวได้จงใจละเว้นปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหลายประการกล่าวคือ จำเลยไม่ยอมทำการสืบสวนสอบสวนตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยสุจริต ไม่เรียกพยานบุคคลและพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่มาประกอบการสอบสวน เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการที่ผู้บังคับบัญชาของพันตรีกำพลจะได้วินิจฉัยสั่งการได้อย่างถูกต้อง จำเลยกลับกระทำการไม่สุจริตโดยให้ความช่วยเหลือพันตรีกำพลซึ่งเป็นเพื่อนของจำเลยให้พ้นจากการถูกลงโทษทางวินัย และเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๘จำเลยได้ทำรายงานสรุปผลการสืบสวนสอบสวนดังกล่าวอันเป็นเท็จต่อแม่ทัพภาคที่ ๔ ว่า จำเลยได้ทำการสืบสวนแล้วได้ความว่าโจทก์ชอบกล่าวหาผู้อื่นมาแล้วหลายรายด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และเมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม ๒๕๒๘ โจทก์ได้ยอมรับกับนางทินกรจุลรัตน์ อาจารย์โรงเรียนวัดนาราม ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า ตามที่โจทก์ร้องเรียนกล่าวหาว่าถูกพันตรีกำพลข่มขืนกระทำชำเรานั้นไม่เป็นความจริง เหตุที่ร้องเรียนเช่นนี้เนื่องจากว่าตนมีความรักใคร่ชอบพอพันตรีกำพลในทางชู้สาวแต่พันตรีกำพลไม่สนใจเพราะพันตรีกำพลมีภรรยาแล้ว รายงานของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้นเป็นเรื่องที่จำเลยแต่งขึ้นเองไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนแต่อย่างใด จำเลยมิได้สอบสวนและโจทก์ไม่เคยมีความประพฤติเช่นดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ไม่เคยรักใคร่ชอบพอพันตรีกำพลในทางชู้สาวและไม่เคยยอมรับกับนางทินกรว่าเรื่องที่โจทก์ร้องเรียนไม่เป็นความจริง นอกจากเสนอรายงานต่อแม่ทัพภาคที่ ๔ แล้วยังแจกจ่ายไปยังกองทัพบก กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๕ กรมการฝึกหัดครูกระทรวงศึกษาธิการ และวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ตามคำเสนอของจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวไขข่าวแพร่หลายอันฝ่าฝืนต่อความจริงเพื่อประจานโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย และผลจากการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงของตนและวงศ์ตระกูล เสียเกียรติคุณและทางเจริญก้าวหน้าในอาชีพของโจทก์ ทำให้ได้รับการตำหนิจากผู้บังคับบัญชาและถูกดูหมิ่นจากผู้ที่จำเลยเสนอรายงานไปถึง ทำให้บุคคลดังกล่าวเห็นว่าโจทก์ประพฤติไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการและกุลสตรี โจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๘ จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย๘,๑๒๕ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐๘,๑๒๕ บาท โจทก์ทราบการกระทำละเมิดของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๒๘ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๐๘,๑๒๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำการสอบสวนเรื่องที่โจทก์ร้องเรียนพันตรีกำพลตามหน้าที่โดยสุจริตไม่เคยจงใจหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โดยจำเลยได้สอบพยานหลักฐานต่าง ๆ และบุคคลที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ และสรุปผลการสอบสวนเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นตามระเบียบปฏิบัติของราชการ ไม่เคยให้ความช่วยเหลือทำการสอบสวนเป็นคุณเป็นโทษกับคนใด และโจทก์มิได้เสียหายจากการกระทำของจำเลย จำเลยไม่เคยแจกจ่ายรายงานผลการสอบสวนดังกล่าวไปยังบุคคลอื่นเพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหายแต่กระทำไปตามวิธีปฏิบัติในทางราชการเท่านั้น หนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือลับแสดงว่าไม่ต้องการเปิดเผยแก่บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบและมิใช่เป็นการไขข่าวอันแพร่หลายและคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์และคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๑ พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความที่จะพึงเห็นได้ว่าโจทก์หาว่าจำเลยกระทำการมิชอบไม่สอบสวนพยานบุคคลที่โจทก์อ้าง จำเลยเสนอรายงานสรุปผลการสอบสวนอันเป็นเท็จและไขข่าวแพร่หลายผลการสอบสวนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นความผิดทางอาญาต่อโจทก์ กรณีของโจทก์จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ใช้อายุความคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๑ แต่ต้องใช้อายุความ ๑ ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก ส่วนปัญหาโจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ล.๖ โจทก์ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ทราบเหตุคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๘ เวลากลางวัน เพราะอธิการวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชให้โจทก์ดูสำเนาหนังสือซึ่งกองทัพภาค ๔ ส่งมา โจทก์ได้อ่านข้อความในรายงานข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยเป็นผู้ส่งมาด้วย จึงน่าเชื่อว่าโจทก์รู้ถึงการกระทำของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๕เมษายน ๒๕๒๘ แล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๙ คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก เมื่อฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.