คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6967/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ที่จะต้องถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ต้องเป็นการโอนหรือการกระทำในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นให้แก่เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำ และการโอนหรือการกระทำนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้เสียเปรียบ ที่ว่าต้องเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำนั้นหมายความว่า เจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นมีนิติสัมพันธ์กันมาก่อนอันเป็นการก่อสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ต่อไปได้ ขณะที่ลูกหนี้ทำสัญญาค้ำประกันสัญญาขายลดตั๋วเงินของ ว.ต่อผู้คัดค้าน ว. ยังมิได้นำตั๋วเงินมาขายลดให้แก่ผู้คัดค้านหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินจึงยังไม่เกิดขึ้น อันจะเป็นผลให้ผู้คัดค้านมีความผูกพันในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้นับแต่วันทำสัญญาค้ำประกัน การที่ลูกหนี้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้านในวันเดียวกัน แล้ว ว. จึงนำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่ผู้คัดค้านและรับเงินจากผู้คัดค้านไป จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่แล้วก่อนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท ผู้ร้องไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จากการสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าหลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องลูกหนี้ทั้งสี่ให้ล้มละลายแล้ว ลูกหนี้ที่ 3ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 18854 ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้แก่ผู้คัดค้าน โดยขณะรับจำนองผู้คัดค้านมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ 3 ตามสัญญาค้ำประกัน การกระทำของลูกหนี้ที่ 3 ถือได้ว่าเป็นการให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ขอให้เพิกถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่18854 ระหว่างลูกหนี้ที่ 3 กับผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115 ให้ผู้คัดค้านกลับคืนสู่ฐานะเดิม และไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หากไม่ไปขอให้ถือเอาคำสั่งของศาลเป็นการแสดงเจตนา
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ลูกหนี้ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทวีแพคโก้ จำกัด ได้มาติดต่อขอวงเงินสินเชื่อให้แก่บริษัทวีแพคโก้ จำกัด ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2531ผู้คัดค้านได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้ และวันที่ 7 มิถุนายน 2531บริษัทวีแพคโก้ จำกัด โดยลูกหนี้ที่ 2 ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับผู้คัดค้านในสัญญาระบุว่าบริษัทวีแพคโก้ จำกัด จะนำตั๋วเงินมาขายแก่ผู้คัดค้านเป็นคราว ๆ ไม่เกินวงเงิน 8,000,000 บาทยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 13 ต่อปี มีลูกหนี้ที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันและลูกหนี้ที่ 3 จำนองที่ดินพิพาทเป็นหลักประกันต่อมาบริษัทวีแพคโก้ จำกัด ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 4,000,000 บาท มาขายแก่ผู้คัดค้าน ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถือว่าเป็นหนี้ประธาน ส่วนการค้ำประกันและจำนองถือว่าเป็นหนี้อุปกรณ์ หากบริษัทวีแพคโก้ จำกัด ไม่นำตั๋วเงินมาขายแก่ผู้คัดค้านก็จะไม่มีหนี้ประธานที่จะต้องชำระซึ่งจะทำให้ไม่มีหนี้อุปกรณ์ที่ต้องชำระเงินกัน และในกรณีเช่นนี้ผู้คัดค้านก็ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ นอกจากนี้ก่อนที่จะมีการจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้านนั้น ที่ดินพิพาทได้ติดจำนองอยู่กับนางปิยะรัตน์ลีมะทวีกุลหรือจิรภัทรพิมล ในต้นเงินจำนองจำนวน 4,000,000 บาทมีการเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปีเกินกว่าที่ปรากฏในสัญญาจำนองการที่ลูกหนี้ที่ 3 นำที่ดินพิพาทมาจำนองแก่ผู้คัดค้านโดยเสียดอกเบี้ยต่ำกว่าจึงเป็นการลดภาระดอกเบี้ยลงเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย การกระทำของลูกหนี้ที่ 3 จึงไม่เป็นการทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2531 บริษัทวีแพคโก้ จำกัด ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินแก่ผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านได้ตกลงให้วงเงินแก่บริษัทวีแพคโก้ จำกัด ในการขายลดตั๋วเงินไว้ 8,000,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย ร.2 ในวันเดียวกันนั้น ลูกหนี้ที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกชนิดบรรดาที่บริษัทวีแพคโก้ จำกัดเป็นหนี้ต่อผู้คัดค้านก่อนวันทำสัญญาหรือเป็นอยู่ในขณะทำสัญญาหรือรวมทั้งหนี้สินที่บริษัทวีแพคโก้ จำกัด จะได้เป็นหนี้ต่อผู้คัดค้านหลังจากวันทำสัญญาเป็นต้นไป ซึ่งได้ทำเมื่อโจทก์ฟ้องลูกหนี้ที่ 3 ให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว จากนั้นลูกหนี้ที่ 3 ได้นำที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 18854 ของตนไปจำนองไว้แก่ผู้คัดค้านเพื่อเป็นประกันหนี้ของบริษัทวีแพคโก้ จำกัด ครั้นวันที่ 8และวันที่ 10 มิถุนายน 2531 บริษัทวีแพคโก้ จำกัด ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ ฉบับละ 4,000,000 บาท มาขายลดให้แก่ผู้คัดค้านและรับเงินจากผู้คัดค้านไปทั้งสองครั้งในวันเดียวกันกับที่นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดดังกล่าวปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าจะเพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 ได้หรือไม่ เห็นว่า การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆที่จะต้องถูกเพิกถอน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115นั้น ต้องเป็นการโอนหรือการกระทำในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นให้แก่เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำ และการโอนหรือการกระทำนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้เสียเปรียบ ที่ว่าต้องเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำนั้นหมายความว่า เจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นมีนิติสัมพันธ์กันมาก่อนแล้วอันเป็นการก่อสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ต่อไปได้ สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะที่ลูกหนี้ที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันสัญญาขายลดตั๋วเงิน บริษัทวีแพคโก้ จำกัด ยังมิได้นำตั๋วเงินมาขายลดให้แก่ผู้คัดค้าน หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินจึงยังไม่เกิดขึ้น อันจะเป็นผลให้ผู้คัดค้านมีความผูกพันในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ 3นับแต่วันทำสัญญาค้ำประกัน ดังนั้นการที่ลูกหนี้ที่ 3 ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากนางปิยะรัตน์ ลีมะทวีกุล ผู้รับจำนองคนก่อนในวันที่ 8 มิถุนายน 2531 และจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้านในวันเดียวกัน แล้วบริษัทวีแพคโก้ จำกัด จึงนำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่ผู้คัดค้านและรับเงินจากผู้คัดค้านไปจึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ 3 อยู่แล้วก่อนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท ผู้ร้องไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทรายนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 ได้ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share