คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2773/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นเด็กมีอายุ 8 ปี 6 เดือน ได้ไปที่วัดที่จำเลยจำพรรษาอยู่ ขณะที่ผู้เสียหายกำลังจะกลับบ้าน จำเลยได้จูงมือผู้เสียหายและเด็กหญิง ก. ชวนไปรับประทานขนมที่กุฏิของจำเลยการที่จำเลยจูงมือผู้เสียหายซึ่งไปที่วัดช่วยพระทำงานอยู่ในบริเวณวัดไปที่กุฏิของจำเลยซึ่งอยู่ในวัดนั่นเอง ยังไม่ถือว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 279, 317

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามจำคุก 6 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กมีอายุ 8 ปี 6 เดือน ได้ไปที่วัดยางสุทธารามที่จำเลยจำพรรษาอยู่ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าขณะที่ผู้เสียหายกำลังจะกลับบ้าน จำเลยได้จูงมือผู้เสียหายและเด็กหญิงกิ๊บชวนไปรับประทานขนมที่กุฏิของจำเลย เมื่อเข้าไปในกุฏิแล้วจำเลยใช้ให้เด็กหญิงกิ๊บออกไปซื้อโอเลี้ยงและบุหรี่พอเด็กหญิงกิ๊บออกไปจำเลยก็ปิดประตูใส่กลอน จับผู้เสียหายไปที่กลางห้องให้นอนลงบนตัก จูบที่ปากและจมูก แล้วยังจับผู้เสียหายให้ยืนขึ้นพร้อมกับถอดกางเกงผู้เสียหายออกถึงหัวเข่า แต่ผู้เสียหายปัดป้องดึงกางเกงสวมขึ้นเหมือนเดิม วิ่งไปถอดกลอนประตู แล้ววิ่งหนีออกนอกห้องไปบอกนายธำรงค์ สอดคล้องกับคำเบิกความของเด็กหญิงกิ๊บซึ่งเบิกความยืนยันว่า จำเลยได้จับมือผู้เสียหายและเด็กหญิงกิ๊บเข้าไปในกุฏิ ต่อมาจำเลยได้ใช้ให้เด็กหญิงกิ๊บไปซื้อโอเลี้ยงเมื่อเด็กหญิงกิ๊บออกไปซื้อกลับมาก็พบผู้เสียหายร้องไห้ กำลังเดินออกมาจากกุฏิของจำเลย เด็กหญิงกิ๊บถามว่าเป็นอะไร ผู้เสียหายตอบว่าพระจะข่มขืน ทั้งผู้เสียหายและเด็กหญิงกิ๊บต่างเป็นเด็กไปวัดช่วยพระทำงานไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแต่อย่างใด ไม่น่าระแวงว่าจะแสร้งเบิกความปรักปรำจำเลย แม้คำเบิกความของพยานทั้งสองอาจจะแตกต่างกันบ้างแต่ก็เป็นพลความเท่านั้น นายธำรงค์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความสนับสนุนว่าเมื่อผู้เสียหายออกมาจากกุฏิของจำเลยนั้น ผู้เสียหายร้องไห้ เมื่อนายธำรงค์สอบถามผู้เสียหายก็ว่าหลวงตา (หมายถึงจำเลย) จะข่มขืน ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมภูมิซึ่งได้รับแจ้งเหตุและเป็นผู้จับกุมจำเลยว่า เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุนั้นจำเลยนุ่งสบงเพียงตัวเดียวมีอาการเมาสุรา พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างได้ แต่การที่จำเลยจูงมือผู้เสียหายซึ่งไปที่วัดช่วยพระทำงานอยู่ในบริเวณวัดไปที่กุฏิของจำเลยซึ่งอยู่ในวัดนั่นเอง ยังไม่ถือว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก จำคุกจำเลย 6 ปี นั้น เห็นว่า หนักเกินไป สมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำผิด”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share