คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยคือผู้มีชื่อและขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยทำสัญญากู้ยืมเงินกับมอบโฉนดที่ดินซึ่งผู้มีชื่อดังกล่าวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วม และมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 4 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ วันที่ 15 เมษายน2535 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมสัญญากู้ยืมเงินอันเป็นเอกสารสิทธิทั้งฉบับด้วยการปลอมลายมือชื่อนางแก้ว ใจแสน ในช่องผู้กู้เพื่อให้นายสมเจตน์ ทองวัฒนา ผู้เสียหายและบุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและบุคคลอื่น ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกโดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งและโดยแสดงตนเป็นคนอื่นโดยจำเลยกับพวกให้พวกของจำเลยคนหนึ่งแสดงตนกับผู้เสียหายว่าเป็นนางแก้ว ใจแสน เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1971 ตำบลวังไก่เถื่อนอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท และนำโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำปลอมขึ้นแสดงต่อผู้เสียหายเพื่อขอกู้ยืมเงินจำนวน 80,000 บาท ซึ่งเป็นเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาจะกู้ยืมเงินและยอมผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงินที่ทำปลอมขึ้น จากการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินจำนวน 80,000 บาทให้จำเลยกับพวกไป และวันที่ 24 เมษายน 2535 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมหนังสือสัญญากู้ยืมเงินอันเป็นเอกสารสิทธิทั้งฉบับด้วยการปลอมลายมือชื่อของนางแก้ว ใจแสน ลงในช่องผู้กู้เพื่อให้ผู้เสียหายและบุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและบุคคลอื่นตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกโดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยแสดงตนเป็นคนอื่น โดยจำเลยกับพวกให้พวกของจำเลยคนหนึ่งแสดงตนเป็นนางแก้ว ใจแสน เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1971ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ขอกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายจำนวน 20,000 บาท ซึ่งเป็นเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาจะกู้ยืมเงินและยอมผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงินที่ทำปลอมขึ้น จากการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินจำนวน20,000 บาท ให้จำเลยกับพวก เหตุเกิดที่ตำบลหันคา อำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท วันที่ 1 กรกฎาคม 2535 จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันฉ้อโกงแต่ปฏิเสธข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 265, 268, 341, 342พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2536มาตรา 4 และให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมเจตน์ ทองวัฒนา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 342(1) ประกอบมาตรา 341, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 กระทงหนึ่ง กับมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 อีกกระทงหนึ่ง แต่การใช้นี้เกิดจากการทำปลอมเอกสารสิทธิกระทงแรกด้วยตามมาตรา 268 วรรคสอง ให้ลงโทษทั้งสองกระทงตามมาตรา 268วรรคแรก กระทงเดียว จำเลยกระทำความผิดฐานนี้อีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นความผิดสองกระทงให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมโทษสองกระทง จำคุก 4 ปีคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 100,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1), 91 เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมสองกระทงให้จำคุก 4 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าการกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามโจทก์ฟ้องด้วยหรือไม่ ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2535จำเลยกับพวกซึ่งเป็นหญิงอีก 4 คน คือนางพเยาว์ จันทร อายุประมาณ60 ปี นางสมพิศ จันทร นางเรณู เพรี และนางเล็กหรือสุดใจ ใจแสนได้มาหาโจทก์ร่วมและขอกู้ยืมเงิน 80,000 บาท จำเลยอ้างว่านางพเยาว์ คือนางแก้ว ใจแสน เป็นคนขอกู้โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่1971 ตามเอกสารหมาย จ.1 ที่มีชื่อนางแก้ว ใจแสน เป็นเจ้าของเป็นประกัน โจทก์ร่วมเชื่อว่านางพเยาว์ คือนางแก้ว ใจแสน จริงจึงให้กู้ แล้วนางพเยาว์กับนางสมพิศได้ทำสัญญาเป็นผู้กู้ร่วมกันโดยนางพเยาว์ลงชื่อเป็นนางแก้ว ใจแสน ส่วนนางสมพิศลงชื่อเป็นนางแววหรือแว๋ว ใจแสน ในสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.2ต่อมาวันที่ 24 เดือนเดียวกันจำเลยกับพวก 4 คน ดังกล่าวได้มาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ร่วมเพิ่มอีก 20,000 บาท นางพเยาว์ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ร่วมไว้อีกหนึ่งฉบับ โดยลงชื่อในช่องผู้กู้ว่านางแก้ว ใจแสน ตามเอกสารหมาย จ.3 เห็นว่า จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยคือผู้มีชื่อดังที่อ้าง และขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยทำสัญญากู้ยืมเงินกับมอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อพวกจำเลยที่อ้างให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วม และมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในความผิดเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share