แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์มิได้ยกเลิกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30,31 และมาตรา 33คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นต่อไปได้ เพราะโจทก์ได้คัดค้านไว้แล้วขอให้ยกเลิกข้อกำหนดของศาลชั้นต้นเสียนั้น โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่ศาลออกข้อกำหนดก็เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามความเที่ยงธรรมและรวดเร็ว ที่ศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดมิให้โจทก์ลุกขึ้นแถลงการณ์ใด ๆ ในขณะที่ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาอยู่อันจะเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว เหตุที่ออกข้อกำหนดเพราะโจทก์ได้กระทำหลายครั้งแล้วเมื่อศาลชั้นต้นออกข้อกำหนด โจทก์มิได้นำพาต่อข้อกำหนดของศาลยังลุกขึ้นแถลงโดยศาลมิได้อนุญาต และขอให้ศาลบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาอีก โจทก์ย่อมทราบถึงการกระทำของตนดีว่าเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็วย่อมเป็นการละเมิดอำนาจศาลจะอ้างว่ากระทำไปโดยไม่รู้ว่ามีความผิดไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานละเมิดโจทก์ได้ยื่นคำแถลงอ้างว่า คำเบิกความของโจทก์มีการตัดเติมข้อความโดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ และลายมือชื่อในคำเบิกความดังกล่าวก็ไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ ขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นได้สอบถามคู่ความทุกฝ่ายและบันทึกรายงานกระบวนพิจารณา โจทก์ยืนขึ้นแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พฤติการณ์ของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นการรบกวนขัดขวางมิให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยเรียบร้อยและชอบด้วยกฎหมาย จึงออกข้อกำหนดห้ามมิให้โจทก์ลุกขึ้นแถลงการณ์ใด ๆ ในขณะที่ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาอยู่และวินิจฉัยว่าคำเบิกความของโจทก์ตามที่อ้างมาไม่ได้มีการตัดเติมจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีก โจทก์ได้ยื่นคำแถลงในลักษณะเดียวกันซ้ำอีก 2 ครั้ง และขอให้ศาลชั้นต้นส่งลายมือชื่อของโจทก์ในคำเบิกความให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อโจทก์ในคำเบิกความที่โจทก์อ้างมาปลอมหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการยื่นคำแถลงซ้ำจึงไม่ดำเนินการให้และเห็นว่าโจทก์พยายามยื่นคำแถลงทั้งที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางก่อความรำคาญและประวิงคดีให้ชักช้า จึงได้ออกข้อกำหนดห้ามไม่ให้โจทก์แถลงหรือยื่นคำคู่ความใด ๆ ต่อศาลโดยกล่าวอ้างว่าคำเบิกความของโจทก์ถูกตัดเติมหรือมีการปลอมลายมือชื่ออีกต่อไป หลังจากที่ศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดดังกล่าวแล้วขณะที่ศาลชั้นต้นบันทึกรายงานกระบวนพิจารณา โจทก์ลุกขึ้นแถลงต่อศาลว่า โจทก์จะพูดได้หรือยัง ซึ่งศาลชั้นต้นบอกว่ายังไม่อนุญาตโจทก์ได้บอกศาลชั้นต้นให้บันทึกไว้ในรายงานด้วย
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจงใจฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ศาลออกไว้เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว การกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 และ 31 ให้ลงโทษจำคุกโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 มีกำหนด 15 วัน
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่ให้จำคุกโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับโจทก์สถานเดียวเป็นเงิน 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้ยกเลิกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30, 31 และมาตรา 33 คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นต่อไปได้เพราะโจทก์ได้คัดค้านไว้แล้ว ขอให้ยกเลิกข้อกำหนดของศาลชั้นต้นเสีย เห็นว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์ไม่ทราบว่าการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดอำนาจศาลขอให้ยกเลิกการกำหนดโทษ เห็นว่า การที่ศาลออกข้อกำหนดก็เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามความเที่ยงธรรมและรวดเร็ว ที่ศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดมิให้โจทก์ลุกขึ้นแถลงการณ์ใด ๆ ในขณะที่ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาอยู่ อันจะเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว เหตุที่ออกข้อกำหนดเพราะโจทก์ได้กระทำหลายครั้งแล้วเมื่อศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดดังกล่าวโจทก์มิได้นำพาต่อข้อกำหนดของศาล ยังลุกขึ้นแถลงโดยศาลมิได้อนุญาต และขอให้ศาลบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาอีก โจทก์ย่อมทราบถึงการกระทำของตนดีว่าเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว จะอ้างว่ากระทำไปโดยไม่รู้ว่ามีความผิดไม่ได้กรณีไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการกำหนดโทษที่ศาลอุทธรณ์วางโทษเพียงโทษปรับนั้นเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน