คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคู่ความฝ่ายใดรับจะนำสืบก่อนฝ่ายนั้นก็ต้องนำสืบก่อนโดยไม่ต้องคำนึงว่าตามรูปคดีเป็นหน้าที่ของฝ่ายใดจะต้องนำสืบก่อน
แม้โจทก์เป็นฝ่ายขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายเซ็นผู้ทำพินัยกรรมแต่ถ้าโจทก์จำเลยมิได้ตกลงท้ากันให้ถือเอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นข้อแพ้ชนะคดีเช่นนี้ จะถือเอาผลการตรวจพิสูจน์นั้นเป็นเด็ดขาดไม่ได้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ เป็นแต่เพียงพยานหลักฐานอันหนึ่งในบรรดาพยานหลักฐานทั้งหลายอื่นที่โจทก์อาจนำสืบเพื่อแสดงว่าพินัยกรรมนั้นปลอมลำพังแต่เพียงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว ยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่ศาลจะชี้ขาดความแท้จริงหรือความถูกต้องแห่งพินัยกรรมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 126

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกมรดกทั้งหมดซึ่งอยู่ที่จำเลย โดยอ้างว่าโจทก์คนเดียวเป็นบุตรของนายปินตาเจ้ามรดก ส่วนจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมที่ไม่ได้จดทะเบียน

จำเลยต่อสู้ว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้จำเลยแต่ผู้เดียวตามสำเนาพินัยกรรมท้ายฟ้อง

โจทก์ตรวจพินัยกรรมแล้วคัดค้านว่าพินัยกรรมปลอม และว่าแม้จะฟังเป็นอย่างอื่น พินัยกรรมก็ไม่สมบูรณ์ เพราะมีการขีดฆ่าแก้ไขโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ครั้งแรกโจทก์รับนำสืบก่อน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าหน้าที่นำสืบก่อนควรตกแก่จำเลย ขอให้ศาลสั่งใหม่

ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ยอมรับนำสืบก่อนเป็นอันยุติในเรื่องประเด็นหน้าที่นำสืบแล้ว และตามประเด็นที่โต้แย้งเห็นได้ว่า โจทก์อ้างสิทธิในกองมรดก เมื่อจำเลยปฏิเสธสิทธิของโจทก์โดยอ้างพินัยกรรมมายันก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบก่อน

ก่อนวันสืบพยาน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้เชี่ยวชาญกองวิทยาการกรมตำรวจทำการพิสูจน์ลายเซ็นผู้ทำพินัยกรรม ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งไปผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์แล้วรายงานว่า ลายเซ็นคล้ายคลึงใกล้ชิดกันมากเชื่อว่าเป็นลายเซ็นของคน ๆ เดียวกัน

โจทก์แถลงไม่ติดใจให้ผู้เชี่ยวชาญเบิกความด้วยวาจา แต่ขอสืบพยานบุคคลอื่นเพื่อหักล้างพินัยกรรม จำเลยแถลงคัดค้าน

ศาลสอบคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยาน 2 ฝ่าย และพิพากษาว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 126 ศาลชี้ขาดข้อโต้เถียงในเรื่องความแท้จริงของเอกสารได้แล้ว เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ลายเซ็นผู้ทำพินัยกรรมกลับไปสมข้างจำเลยก็ต้องฟังว่าพินัยกรรมที่จำเลยอ้างเป็นเอกสารแท้จริง และเห็นว่าการขีดฆ่าถ้อยคำบางแห่งในพินัยกรรม ไม่ทำให้พินัยกรรมเสียไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกจากจำเลยได้ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ชอบที่จะขอแก้ไขถ้อยคำของตนที่แถลงรับเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบได้ และตามรูปคดีก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบก่อน ทั้งโจทก์ชอบที่จะนำพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคดีได้ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสร์ความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องหน้าที่นำสืบนั้น เมื่อคู่ความฝ่ายใดรับจะนำสืบก่อน ฝ่ายนั้นก็ต้องนำสืบก่อน โดยไม่ต้องคำนึงว่าตามรูปคดีเป็นหน้าที่ของฝ่ายใดจะต้องนำสืบก่อน (เทียบฎีกาที่ 889/2487) คดีนี้โจทก์อ้างเหตุแต่เพียงว่า หน้าที่นำสืบควรตกแก่จำเลย จึงยังไม่น่าจะสั่งเปลี่ยนแปลงหน้าที่นำสืบตามที่โจทก์ขอ

ส่วนเรื่องความแท้จริงของพินัยกรรมนั้น แม้ฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายเซ็นผู้ทำพินัยกรรม แต่โจทก์จำเลยก็มิได้ตกลงท้ากันหรือให้ถือเอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นข้อแพ้ชนะคดีกัน จะถือว่าโจทก์เลือกเสี่ยงพิสูจน์ทางนี้แล้วต้องถือตามผลการตรวจพิสูจน์นั้นเป็นเด็ดขาดยังไม่ได้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องลายเซ็นเช่นนี้ก็เป็นแต่เพียงหลักฐานพยานอันหนึ่งในบรรดาพยานหลักฐานทั้งหลายอื่นที่โจทก์อาจนำสืบเพื่อแสดงว่าพินัยกรรมนั้นปลอม ยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 126 ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ชอบที่จะนำพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคดีอีกได้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนคงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาต่อไป โดยให้โจทก์นำสืบก่อนตามที่แถลงรับไว้ เว้นแต่จะมีกรณีเปลี่ยนแปลงในกระบวนพิจารณา ซึ่งสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น

Share