คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6957/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงกันว่าหากจำเลยมีหนี้สินความรับผิดชอบใดต่อโจทก์ ยอมให้โจทก์หักเงินในบัญชีเดินสะพัดของจำเลย หากเงินในบัญชีไม่พอจำเลยยอมให้โจทก์นำหนี้ตามจำนวนต้องรับผิดชอบลงในบัญชีเดินสะพัดได้ มิใช่การเปลี่ยนสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะทำให้มูลหนี้จากการใช้บัตรเครดิตเปลี่ยนเป็นหนี้อันเกิดจากบัญชีเดินสะพัด
การวินิจฉัยเรื่องอายุความจึงต้องพิจารณาจากมูลหนี้เดิมจากการใช้บัตรเครดิต เมื่อจำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 9 มีนาคม2536 และโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 2 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงเปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์และยินยอมปฏิบัติตามประเพณีและวิธีปฏิบัติของธนาคารโจทก์ทุกประการการสั่งจ่ายหรือการถอนเงินในบัญชีดังกล่าวจำเลยตกลงใช้เช็คของโจทก์เป็นหลักฐานแห่งการหักทอนบัญชีเดินสะพัดต่อกัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัด ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน89,299.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปีจากต้นเงิน82,802.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า มูลหนี้ตามฟ้องโจทก์มิใช่มูลหนี้อันเกิดจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยแต่เป็นมูลหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แก่จำเลย จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำนวนเงินที่ค้างชำระ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียง 5 ปี ส่วนที่เกินจากนั้นขาดอายุความและคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 15 ต่อปี และมูลหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 36,138.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 13พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2532 จำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ ที่สาขาซอยอารีย์สัมพันธ์ และจำเลยได้ขอใช้บัตรเครดิตของโจทก์โดยมีข้อตกลงยอมให้โจทก์นำหนี้ที่ค้างชำระในบัญชีบัตรเครดิตไปลงในบัญชีเดินสะพัดได้ นับตั้งแต่วันที่ 17เมษายน 2534 เป็นต้นมา จำเลยไม่เคยใช้เช็คเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์หนี้ในบัญชีเดินสะพัดเป็นหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 9 มีนาคม 2536 ยอดหนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม2541 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 88,802.07 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาของจำเลยว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหานี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้จากพยานหลักฐานในสำนวนศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่ายอดหนี้ตามฟ้องเป็นมูลหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตซึ่งโจทก์โอนมาลงในบัญชีเดินสะพัด เห็นว่า แม้สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยจะมีข้อตกลงว่า หากจำเลยมีหนี้สินความรับผิดชอบใดต่อโจทก์จำเลยยอมให้โจทก์หักเงินในบัญชีเดินสะพัดของจำเลยหากเงินในบัญชีไม่พอจำเลยยอมให้โจทก์นำหนี้ตามจำนวนที่จำเลยต้องรับผิดชอบลงในบัญชีเดินสะพัดได้ก็ตาม ข้อตกลงนี้มิใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะทำให้มูลหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตเปลี่ยนเป็นหนี้อันเกิดจากบัญชีเดินสะพัด การวินิจฉัยในเรื่องอายุความจึงต้องพิจารณาจากมูลหนี้เดิมอันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตปรากฏว่าจำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2536 และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2541 เกินกว่า 2 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7) ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share