คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6953/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ร้องขอซื้อนาพิพาทต่อ คชก.ตำบล และคชก.ตำบล วินิจฉัยให้โจทก์ซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันโดยมิได้กำหนด ราคาให้ เป็นเรื่องโจทก์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคสองแล้วเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่ถึงที่สุดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ได้ คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ได้ระบุให้ซื้อนาพิพาทคืนได้ในราคาเท่าใด จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะให้โจทก์ซื้อในราคาใดเท่านั้น จำเลยทั้งสองจะนำเรื่องคำเสนอคำสนองมาใช้ในกรณีนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์สนองตอบว่าจะซื้อนาพิพาทตามราคาที่จำเลยทั้งสองกำหนดไว้มิได้เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลซึ่งถือเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วว่าให้โจทก์ซื้อนาพิพาทได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ตามคำขอท้ายฟ้องเป็นการพิพากษาไม่เกินคำขอ ส่วนการกำหนดราคานาพิพาทเป็นเรื่องโจทก์กะประมาณราคาของนาพิพาทในราคา 1,075,831 บาท เพื่อคำนวณเสียค่าขึ้นศาล การที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่าซื้อนาพิพาทมาในราคา 1,175,831 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ปี 2501 โจทก์เช่าที่นาโฉนดเลขที่ 5296 ซึ่งนายสง่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายสุเทพและนายมนตรี เนื้อที่ประมาณ 42 ไร่ 3 งาน 3 ตารางวา คิดค่าเช่าไร่ละ 100 บาท จนถึงปี 2526 โจทก์จึงทำสัญญาเช่ากับนางสง่ามีกำหนด 6 ปี ค่าเช่าไร่ละ 100 บาท ต่อปี เมื่อปี 2528 นายสุเทพและนายมนตรีได้ยื่นขอรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม จึงได้เปลี่ยนจากโฉนดเลขที่ 5296 มาเป็นเลขที่ 34033 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2530นางสง่าขายที่นาดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสองในราคา 1,075,831 บาทโดยไม่เคยแจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยทั้งสองซื้อโดยทราบอยู่แล้วว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาดังกล่าวและยังอยู่ในอายุสัญญาเช่า จึงเป็นการขายโดยมิชอบ โจทก์มีหนังสือร้องไปยังคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก.ตำบล) ไทรใหญ่ เพื่อขอซื้อนาพิพาท คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทรใหญ่มีมติว่า โจทก์ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนได้ตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน คำวินิจฉัยดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 34033 จำนวน 42 ไร่ 3 งาน 3 ตารางวา ให้แก่โจทก์และรับชำระราคาเป็นเงิน 1,075,831 บาท จากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทยใหญ่ยังมิได้วินิจฉัยว่าราคาตลาดของนาพิพาทในขณะที่นางสง่าขายให้จำเลยทั้งสองนั้นราคาเท่าใดโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยทั้งสองก่อนฟ้องคดีโจทก์มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทยใหญ่ ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดนนทบุรี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 34033 ให้แก่โจทก์ในราคา 1,175,831 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ในฐานะผู้เช่าขอซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองในฐานะผู้รับโอน และจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายนาแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ได้ร้องขอซื้อคืนนาพิพาทต่อ คชก. ตำบลไทรใหญ่ และ คชก.ตำบลไทรใหญ่วินิจฉัยให้โจทก์ซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันโดยมิได้กำหนดราคาให้เป็นเรื่องที่โจทก์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 54 วรรคสอง แล้ว การที่โจทก์และจำเลยทั้งสอง มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไทรใหญ่ ต่อ คชก.จังหวัดนนทบุรีเสียภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลไทรใหญ่ คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไทรใหญ่ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จำเลยทั้งสองจะต้องขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้แล้ว แต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไทรใหญ่ที่ถึงที่สุดแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ได้
คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไทรใหญ่ คงให้โจทก์ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนได้ตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่าตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 แต่คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าให้ซื้อคืนได้ในราคาเท่าไร จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะให้โจทก์ซื้อในราคาเท่าใดเท่านั้นจำเลยทั้งสองจะนำเรื่องคำเสนอสนองมาใช้ในกรณีนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์สนองตอบว่าจะซื้อนาพิพาทตามราคาที่จำเลยทั้งสองกำหนดไว้อีกมิได้เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไทรใหญ่ซึ่งถือเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วว่าให้โจทก์ซื้อนาพิพาทได้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์1,075,831 บาท การที่ศาลล่างกำหนดให้โจทก์ซื้อคืนในราคา1,175,831 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ตามคำขอท้ายฟ้องเป็นการพิพากษาไม่เกินคำขอส่วนการกำหนดราคานาพิพาทเป็นเรื่องที่โจทก์กะประมาณราคาของนาพิพาทเพื่อคำนวณเสียค่าขึ้นศาลโดยถือราคาตามหนังสือบอกกล่าวของทนายความของจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย จ.13 ที่บอกกล่าวให้โจทก์ซื้อนาพิพาทในราคา 1,075,831 บาท การที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่าซื้อนาพิพาทมาในราคา 1,175,831 เนื่องจากยังมีเงินมัดจำอีก 100,000 บาท ก็เป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะได้รับค่าที่ดินตามราคาดังกล่าวตามบทบัญญัติในมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าและเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองเอง คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงหาเกินคำขอ
พิพากษายืน

Share