แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2527 และทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยตกลงชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินคืนภายใน 134 วันและออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับหลัง ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2528และทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยตกลงจะชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินคืนให้แก่โจทก์ภายใน 90 วัน เห็นได้ว่ามูลหนี้แม้จะเกิดจากตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับ แต่การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. ได้ทำสัญญารับชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์ ในเมื่อมีการผิดนัดตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับนั้นเป็นข้อตกลงอันเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งอันเป็นสัญญารับชำระหนี้แยกต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงินห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. จึงต้องผูกพันตามสัญญารับชำระหนี้ดังนั้น แม้จะฟังว่าสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งมีอายุความ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 จะขาดอายุความฟ้องร้องแล้วทั้งสองฉบับแต่ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. ยังต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องอันเกิดแก่สัญญารับชำระหนี้ สิทธิเรียกร้องตามสัญญารับชำระหนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะมีสิทธิยกข้ออ้างตามมาตรา 694ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้แต่เมื่อฟังได้ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,723,287.60 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 2,000,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมไม่มีมูลหนี้ คดีโจทก์ขาดอายุความและดอกเบี้ยตามฟ้องเป็นดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า 5 ปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,180,008.91 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาบางส่วนโดยให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 10,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถาบางส่วนโดยให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 10,000 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2527 และวันที่ 25 มิถุนายน 2528 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ โดยมีนายอำนวย ตันติพิษณุ กับจำเลยลงนามร่วมกันประทับตราเป็นผู้มีอำนาจได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 79/2527 สัญญาจะจ่ายเงิน1,300,000 บาท กับทำสัญญารับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 2/2528 สัญญาจะจ่ายเงิน 240,000 บาทกับทำสัญญารับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินไว้แก่โจทก์ เอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.14 วันที่ 19 กรกฎาคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2527 จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทของห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ ในวงเงิน 2,000,000บาท ไว้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.8 ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องขอให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์กับนายอำนวย ตันติพิษณุเป็นบุคคลล้มละลายและศาลได้มีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2536 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.61/2536 ของศาลแพ่ง แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อมาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2527 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 79/2527 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2527 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท และทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยตกลงชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินคืนภายใน 134 วัน ทั้งได้บรรยายฟ้องข้อต่อมาว่าเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน2527 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 2/2528 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2528 จำนวนเงิน 240,000 บาท และทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไว้ในวันเดียวกันโดยตกลงจะชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินคืนให้แก่โจทก์ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ลงในตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ทั้งสองฉบับตามสัญญารับชำระหนี้เอกสารหมาย จ.11 จ.13 และตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.12 และ จ.14 คำบรรยายฟ้องของโจทก์แสดงใจความและเหตุผลพร้อมทั้งได้ระบุเอกสารไว้ท้ายคำฟ้องตามเอกสารหมายเลข 4ถึงหมายเลข 7 แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาฟ้องบังคับเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับและฟ้องเรียกเงินตามสัญญารับชำระหนี้ทั้งสองฉบับด้วยพร้อมกัน โจทก์มิได้บรรยายฟ้องบังคับเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับที่จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แต่เพียงประการเดียว สัญญารับชำระหนี้เอกสารหมาย จ.11 และ จ.13 มีข้อความว่า ขอให้สัญญาว่ารับรองจะชำระเงินคืนให้แก่โจทก์ในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระหรือในเวลาก่อนครบกำหนดชำระเงิน ตามที่โจทก์จะเห็นสมควรพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีทั้งมีข้อความด้วยว่ายอมเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ในตั๋วสัญญาใช้เงินครบกำหนดจนถึงวันชำระเงินเสร็จ เห็นว่า มูลหนี้แม้จะเกิดจากตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับแต่ข้อความที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ ได้ตกลงทำสัญญารับชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์ ในเมื่อมีการผิดนัดตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับเอกสารหมาย จ.11 และ จ.13 ดังกล่าว ฟังได้ว่า เป็นข้อตกลงอันเป็นสัญญาอีกฉบับและเรียกว่าสัญญารับชำระหนี้แยกต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยจะปฏิเสธว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ ไม่มีความผูกพันตามสัญญารับชำระหนี้ไม่ได้ ดังนั้นแม้จะฟังว่าสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งมีอายุความ 3 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 จะขาดอายุความฟ้องร้องแล้วทั้งสองฉบับ แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ยังต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องอันเกิดแก่สัญญารับชำระหนี้ซึ่งเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงกันแยกไว้ต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับ สิทธิเรียกร้องตามสัญญารับชำระหนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดพิษณุการเกษตรและพาณิชย์ จึงไม่ขาดอายุความแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะมีสิทธิยกข้ออ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้แต่เมื่อฟังได้ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน