คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6930/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ณ. เคยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาลมาก่อน ต่อมาผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรผู้ตายฟ้องขอให้ศาลเพิกถอน ณ. จากการเป็นผู้จัดการมรดกแล้วถอนฟ้อง โดยตกลงกันให้ ณ. ทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป ซึ่ง ณ. ยอมแบ่งเงินจากกองมรดกของผู้ตายจำนวน 180,000 บาท ให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์มรดกอื่นใดอีก ข้อตกลงดังกล่าวจึงเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ อันเป็นการระงับข้อพิพาท ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ซึ่งทำให้การเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และ 852 ผู้ร้องย่อมไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายอีก จึงมาร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายประเวศ โชคประจำ และนางอุทัยศิริมงคล เจ้ามรดก ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน นายประเวศตายก่อนนางอุทัยส่วนนางอุทัยตายเมื่อปี 2537 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ มีทรัพย์มรดกคือที่ดิน2 แปลงพร้อมบ้าน 1 หลัง ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งนายณรงค์ ศิริมงคล น้องชายของนางอุทัยผู้ตายเป็นผู้จัดการมรดก นายณรงค์ตายระหว่างการจัดการมรดกยังไม่เรียบร้อยขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางอุทัยผู้ตาย
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยา และเป็นผู้จัดการมรดกของนายณรงค์ตามคำสั่งศาล ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุตรของนายณรงค์ผู้ร้องเป็นบุตรของบุคคลอื่นซึ่งผู้ตายนำมาเลี้ยงดูแล้วออกสูติบัตรเท็จว่าผู้ร้องเป็นบุตรของผู้ตายกับนายประเวศซึ่งนายประเวศไม่มีตัวตน ผู้ร้องเคยยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนายณรงค์จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วตกลงประนีประนอมยอมความกับนายณรงค์ โดยผู้ร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นเงิน 180,000 บาท จากนั้นผู้ร้องไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์มรดกอย่างอื่นของผู้ตายอีกต่อไป ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้ปกครองดูแลทรัพย์มรดกของผู้ตายขอให้มีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้อง และตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้อง และตั้งผู้คัดค้านที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวอุทัย ศิริมงคล ผู้ตาย โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากสำนวนที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า นายณรงค์เคยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาลมาก่อนต่อมาผู้ร้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนายณรงค์จากการเป็นผู้จัดการมรดกแล้วถอนฟ้องโดยตกลงกันให้นายณรงค์ทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป ซึ่งนายณรงค์ยอมแบ่งเงินจากกองมรดกของผู้ตายจำนวน180,000 บาท ให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์มรดกอื่นใดอีกตามคำร้องขอถอนฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1466/2537 หมายเลขแดงที่ 376/2538 ของศาลชั้นต้นและใบรับเงินเอกสารหมาย ค.1 เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ อันเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ซึ่งทำให้การเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 และ 852 แม้จะฟังว่าผู้ร้องเป็นบุตรผู้ตายก็นับได้ว่าผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายอีก จึงร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ได้ตาม มาตรา 1713 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนฎีกาประการอื่นของผู้ร้องล้วนไม่เกี่ยวกับประเด็นที่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share