คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาก่อน 6 นาฬิกา แม้จะได้ความว่าสว่างแล้วเพราะอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในช่วงเช้าตรู่ ยังไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน พยานทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างเห็นคนร้าย เพียงชั่วขณะเดียวที่คนร้ายหันหน้าไปหาตนเท่านั้น อีกทั้งเป็นระยะห่างถึง 20 และ 30 เมตร ในสภาวะดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะจำหน้าคนร้ายได้ ทั้งพยานทั้งสองปากมิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยคือคนร้ายเพียงแต่เบิกความว่าลักษณะของคนร้ายคล้ายกับจำเลยเท่านั้น และเมื่อพยานได้เห็นภาพถ่ายของจำเลยในแฟ้มประวัติคนร้าย ในวันเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย การที่พยานทั้งสองชี้ตัวจำเลย ได้ถูกต้องเพราะต่างได้เห็นจำเลยมาก่อนเนื่องจากเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลย และชี้เสื้อและ กางเกงของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นเสื้อและกางเกงที่จำเลยสวมในวันเกิดเหตุโดยที่เสื้อและ กางเกงดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะพิเศษอันควรแก่การจดจำแต่อย่างใด ทั้งบุคคลทั่วไปก็อาจมีเสื้อและกางเกงเช่นนั้นได้ อีกทั้งเสื้อของกลางพยานโจทก์เบิกความว่าได้ให้จำเลยไปก่อน เกิดเหตุนานถึง 2 ปี จึงไม่แน่ว่าผู้สวมเสื้อในวันเกิดเหตุจะต้องเป็นจำเลย เมื่อมีการตรวจ พิสูจน์กลิ่นโดยสุนัขตำรวจพยานโจทก์เบิกความตอบทนายถามค้านว่าไม่แน่ใจว่ากลิ่นตัว ของคนร้ายจะติดอยู่หรือไม่ ทั้งเสื้อและหมวกของกลางอยู่ในความครอบครองของ พนักงานสอบสวนรวมทั้งเสื้อและกางเกงของจำเลย การตรวจพิสูจน์โดยวิธีนี้จึงยังไม่อาจ รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อและหมวกของกลางในขณะเกิดเหตุ พยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ เสื้อและหมวกของกลางมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงริบไม่ได้และต้องคืนให้เจ้าของ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 32, 33, 83, 91, 92, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลางทั้งหมด เพิ่มโทษจำเลยและให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 727/2534, 801/2534, 3/2535 และ 190/2535 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อและเคยต้องโทษมาตามฟ้องจริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 83, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ ข้อหามีอาวุธปืน มีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 6 เดือน ข้อหาพาอาวุธปืนฯ ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 6 เดือน ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษประหารชีวิต รวมแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตและไม่อาจเพิ่มโทษหรือนับโทษต่อได้ ของกลางริบ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ รับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีคดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีร้อยตำรวจเอกวิทยากับจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าก่อนจะเกิดเหตุพยานทั้งสองกำลังจะเดินทางจากอำเภอเมืองสุรินทร์ไปอำเภอสนมโดยใช้รถยนต์กระบะ 1 คันเป็นพาหนะโดยจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์เป็นคนขับขณะผ่านทางเข้าออกวัดหนองบัวได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดทางประตูวัดเห็นคนร้ายกำลังยิงผู้ตายซึ่งล้มลงที่ทางเท้าหน้าประตูวัด คนร้ายสวมเสื้อวอร์มสีน้ำเงินสวมกางเกงขายาวสีดำและสวมหมวกไหมพรมคลุมหน้ายิงแล้ววิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งมีคนร้ายอีกคนหนึ่งติดเครื่องจอดรออยู่พากันหลบหนีไปจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์ขับรถติดตามระหว่างทางคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายถอดหมวกไหมพรมและเสื้อวอร์มทิ้งลงถนน เมื่อถึงทางแยกหลังสถานีขนส่งจังหวัดสุรินทร์คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายกระโดดลงจากรถจักรยานยนต์เดินเข้าซอย คนร้ายหันกลับมามองแล้ววิ่งหนีไปได้พยานทั้งสองจำคนร้ายคนนี้ได้ว่าคือจำเลยเห็นว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลาก่อน6นาฬิกาแม้จะได้ความว่าสว่าง แล้วเพราะอยู่ในฤดูร้อนก็ตามแต่ก็ยังอยู่ในช่วงเวลาเช้าตรู่ยังไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจนดังเวลา กลางวัน ทั้งร้อยตำรวจเอกวิทยาและจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์ต่างเห็นคนร้ายเพียงชั่วขณะเดียวที่คนร้ายหันหน้าไปหาตนเท่านั้นซึ่งร้อยตำรวจเอกวิทยาเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เห็นหน้าคนร้ายในระยะห่างประมาณ 20 เมตร ส่วนจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเห็นหน้าคนร้าย ในระยะห่างประมาณ 30 เมตร ในสภาวะดังกล่าวไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองนี้จะจำหน้าคนร้ายได้ดังที่ร้อยตำรวจเอกวิทยาเบิกความว่าคนร้ายมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับจำเลยประมาณร้อยละ 80-90และจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์เบิกความว่าลักษณะของคนร้ายคล้ายกับจำเลยเท่านั้น พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้จึงมิได้เบิกความยืนยันเลยว่าจำเลยคือคนร้ายรายนี้ และเมื่อพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ได้เห็นภาพถ่ายของจำเลยในแฟ้มประวัติคนร้ายแล้วจำจำเลยได้ ซึ่งตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวิทยาว่าเป็นเวลาประมาณ10นาฬิกาของวันเกิดเหตุแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้ยืนยันต่อพันตำรวจโทมนตรีพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นคนร้ายแต่อย่างใด ดังที่พันตำรวจโทมนตรีเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าทราบชื่อคนร้ายหลังจากทราบว่าเสื้อวอร์มของกลางเป็นของพลตำรวจสมชายและสอบถามพลตำรวจสมชายแล้ว การที่ร้อยตำรวจเอกวิทยากับจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะต่างได้เห็นจำเลยมาก่อนแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยเองตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.8ส่วนที่ร้อยตำรวจเอกวิทยากับจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์ชี้เสื้อและกางเกงของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นเสื้อและกางเกงที่จำเลยสวมในวันเกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.12, จ.13, จ.22,จ.23 และบันทึกการนำชี้เสื้อผ้าเอกสารหมายจ.14นั้นก็เห็นว่าเสื้อและกางเกงตามภาพถ่ายดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะพิเศษอันควรแก่การจดจำแต่อย่างใดทั้งบุคคลทั่วไปก็อาจมีเสื้อและกางเกงเช่นนั้นได้จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์เช่นเดียวกันสำหรับเสื้อวอร์มของกลางพลตำรวจสมชายเบิกความว่าเป็นของตน แต่ได้ให้จำเลยไปตั้งแต่ปี 2535 ก่อนเกิดเหตุนานถึง 2 ปี หากเป็นความจริงก็ไม่แน่ว่าผู้สวมเสื้อตัวนี้ในวันเกิดเหตุจะต้องเป็นจำเลยตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวิทยากับจ่าสิบตำรวจทวีรัตน์ได้ความว่าคนร้ายสวมเสื้อวอร์มของกลางทับเสื้อตัวอื่นอยู่ มีการตรวจพิสูจน์กลิ่นโดยสุนัขตำรวจว่ามีกลิ่นตัวของจำเลยในวันที่ 5 เมษายน 2537 เวลา 11.50 นาฬิกาตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสุพิญ เรียบร้อย ซึ่งเป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุนานถึง3 วัน เช่นเดียวกันกับหมวกไหมพรมคลุมศีรษะของกลาง หากคนร้ายสวมเสื้อและหมวกของกลางอยู่นานเพียง 2-3 ชั่วโมงในขณะเกิดเหตุ สิบตำรวจเอกสุพิญก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าไม่แน่ใจว่ากลิ่นตัวของคนร้ายจะติดอยู่หรือไม่ทั้งเสื้อและหมวกของกลางอยู่ในความครอบครองของพนักงานสอบสวนรวมทั้งเสื้อและกางเกงของจำเลยด้วยไม่ปรากฏว่านำไปเก็บรวมกันอันอาจทำให้กลิ่นเนื้อผ้าระคนกันหรือไม่การตรวจพิสูจน์โดยวิธีการนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อและหมวกของกลางในขณะเกิดเหตุพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ริบของกลางทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเสื้อและหมวกของกลางมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้และต้องคืนให้เจ้าของ”
พิพากษายืน แต่เสื้อและหมวกของกลางคืนเจ้าของ ส่วนปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลางคงให้ริบ

Share