แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของสถานฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟและอาคารแจ้งวัฒนะกอล์ฟไดร์วิ่งเร้น ซึ่งเป็นอาคารตึก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง เสาโครงเหล็กจำนวน 52 ต้น และสนามกอล์ฟพื้นที่ 21,513 ตารางเมตร ต่อมาสนามไดร์กอล์ฟของโจทก์ดังกล่าวถูกเวนคืนบางส่วนผ่ากลางสนามหญ้า โดยมีการรื้อถอนเสาโครงเหล็กบางส่วน โจทก์จึงเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รื้อถอนไม่ได้ซึ่งมีอยู่ในที่ดินที่ถูกเวนคืน เมื่อการเวนคืนดังกล่าวมีผลทำให้เสาโครงเหล็กตาข่ายและสนามหญ้าที่เหลือใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ จึงเป็นการเวนคืนสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นแต่เพียงบางส่วน ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 19 และโจทก์ฟ้องขอเงินค่าทดแทนในส่วนนี้จากตัวทรัพย์ที่เหลือจากการเวนคืนอันเป็นกรณีตามมาตรา 19 มิใช่กรณีตามมาตรา 21 วรรคท้าย ซึ่งหมายถึงค่าเสียหายโดยตรงที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ดังนั้นหากโจทก์เห็นว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลืออยู่ใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และโจทก์ประสงค์จะให้เวนคืน โจทก์จะต้องร้องขอต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนให้เวนคืนส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้นด้วย ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ยอมเวนคืนตามคำร้องของโจทก์ โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี ฯ ภายใน 60 วัน ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 19 เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนทรัพย์สินส่วนนี้ที่เหลือจากการเวนคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 41,594,928 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,575,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินร้อยละ 9 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 15,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของสนามฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟและอาคารแจ้งวัฒนะกอล์ฟไดร์วิ่งเร้น ซึ่งเป็นอาคารตึก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง เสาโครงเหล็กจำนวน 52 ต้น และสนามกอล์ฟพื้นที่ 21,513 ตารางเมตร โดยปลูกสร้างบนที่ดินของนางเง็กและพลอากาศตรีโกศล ต่อมาสนามฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟของโจทก์ดังกล่าวถูกเวนคืนบางส่วนผ่ากลางสนามหญ้าอันเนื่องจากดำเนินการของฝ่ายจำเลยตาม พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางพูด ตำบลปากเกร็ด ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด และตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2537 เพื่อสร้างถนนสายเลี่ยงเมืองปากเกร็ด ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2537 คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ฯ กำหนดเงินค่าทดแทนอาคาร โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ค่าปลูกหญ้า รวมเป็นเงินจำนวน 2,028,342 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับไปแล้ว โจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอเพิ่มเงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างเป็นเงินจำนวน 21,723,270 บาท และค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 21,900,000 บาท แต่ยังไม่ได้รับคำวินิจฉัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนอาคารฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟ สนามหญ้าและเสาโครงเหล็กที่ไม่ถูกเวนคืนหรือไม่เพียงใด เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของสนามฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟและอาคารแจ้งวัฒนะกอล์ฟไดร์วิ่งเร้นซึ่งเป็นอาคารตึก 2 ชั้น 1 หลัง เสาโครงเหล็กจำนวน 52 ต้น และสนามหญ้าพื้นที่ 21,513 ตารางเมตร เฉพาะส่วนที่ถูกเวนคืนคือกลางสนามหญ้า โดยมีการรื้อถอนเสาเหล็กซึ่งหมายถึงเสาโครงเหล็กจำนวน 10 ต้น และในบริเวณดังกล่าวมีการถมดินไว้สูง 1 เมตร โดยมีหญ้าปลูกอยู่ในสนาม โจทก์จึงเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รื้อถอนไม่ได้ซึ่งมีอยู่ในที่ดินที่ต้องเวนคืนนั้นในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา ฯ และเป็นบุคคลที่พึงได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (2) เมื่อการเวนคืนกลางสนามหญ้าดังกล่าวเป็นการเวนคืนเพียงบางส่วน มีผลทำให้เสาโครงเหล็กตาข่าย และสนามหญ้าส่วนที่เหลือใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ จึงเป็นกรณีการเวนคืนสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นแต่เพียงบางส่วนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 19 และโจทก์ฟ้องขอเงินค่าทดแทนในส่วนนี้โดยคำนวณราคาจากตัวทรัพย์ที่เหลือจากการเวนคืนซึ่งเป็นกรณีตามมาตรา 19 มิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 21 วรรคท้าย ที่หมายถึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน โดยมาตรา 19 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ต้องเวนคืนโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นแต่เพียงบางส่วน เจ้าของจะร้องขอให้เจ้าหน้าที่เวนคืนส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งใช้การไม่ได้แล้วด้วยก็ได้
ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมเวนคืนตามคำร้องขอของเจ้าของ เจ้าของมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 6 หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนั้น ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ถือว่ารัฐมนตรีวินิจฉัยให้เจ้าหน้าที่เวนคืนตามคำร้องขอของเจ้าของ
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
”
ดังนั้น จากบทบัญญัติดังกล่าวหากโจทก์เห็นว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลืออยู่ใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และประสงค์จะให้เวนคืนด้วย โจทก์จะต้องร้องขอต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนให้เวนคืนส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้นด้วย ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ยอมเวนคืนตามคำร้องขอของโจทก์ โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับคดีนี้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากจำเลยที่ 2 เมื่อรัฐมนตรี ฯ วินิจฉัยอย่างไรแล้วถือเป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังที่กล่าวมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนอาคารฝึกซ้อมไดร์กอล์ฟ สนามหญ้า และเสาโครงเหล็กที่เหลือจากการเวนคืนได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,025,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราและวันที่ที่ศาลอุทธรณ์กำหนด และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา ส่วนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองชำระเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 35,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.