คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลูกหนี้ (จำเลย) ได้มอบอำนาจให้เจ้าหนี้นำที่ดิน 6 โฉนดไปทำสัญญาจำนองประกันหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้นำที่ดินทั้ง 6 โฉนดไปทำจำนองในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ โดยได้จดทะเบียนจำนองเสร็จเรียบร้อยในเดียวกันทั้ง 6 โฉนดก่อนสิ้นเวลาราชการในวันนั้น เมื่อไม่มีพยานฝ่ายเจ้าหนี้ปากใดยื่นยันว่าได้ทำจำนองเสร็จก่อนเที่ยงวันหรือก่อนเวลา 13.30 น. อันเป็นเวลาที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้กรณีฟังไม่ได้ว่า เจ้าหนี้ได้ทำจำนองเสร็จก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จึงจะถือว่า เป็นเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 95 ไม่ได้
ลูกหนี้ออกเช็คสั่งให้ธนาคารเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จ่ายเงินให้แก่บริษัท อ. โดยลงวันที่ในเช็ควันที่ 12 ธันวาคม 2517 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ธนาคารเจ้าหนี้จ่ายเงินตามเช็คนั้นให้แก่บริษัท อ.ไปในวันดังกล่าว ดังนี้ มูลแห่งหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระจึงเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกหนี้ได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วแม้เจ้าหนี้จะจ่ายเงินตามเช็คไปโดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ เจ้าหนี้ก็จะขอรับชำระหนี้ในเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 94

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 ธนาคารแห่งอินโดจีนจำกัด เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ยื่นคำขอรับชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและดอกเบี้ยรวม 6,081,050.64 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้ประกันตามมาตรา 96(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าลูกหนี้ที่ 2 นำที่ดินทั้ง 6 โฉนดมอบให้เจ้าหนี้ไม่ใช่เพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแต่เดิมของลูกหนี้ที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 6 จะขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตาม มาตรา 96(3)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ไม่ได้ และลูกหนี้ที่ 2 เป็นหนี้เจ้าหนี้เพียง 5,860,597.72 บาท ส่วนที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้ที่ 2 สั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 139,402.28 บาท เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2517 นั้น เป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้แล้ว จึงต้องห้ามมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 จึงเห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 5,860,597.72 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 คำขออื่นและที่ขอเกินมานอกจากนี้ควรให้ยก

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้สามัญ จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ตามมาตรา 130(8)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 โดยให้ได้รับชำระหนี้เป็นจำนวนเงิน 5,860,597.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2517 ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 ซึ่งเป็นวันที่ลูกหนี้ที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เจ้าหนี้นำที่ดินทั้ง 6 โฉนดไปทำจำนองในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 ถือไม่ได้ว่ามีสิทธิเหนือทรัพย์สินจำนองก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์ และเช็คที่เจ้าหนี้จ่ายเงินไปมิได้มีมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันลูกหนี้ที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ไม่ได้ พิพากษายืน

เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากจะฟังตามที่เจ้าหนี้ให้การว่า ลูกหนี้ที่ 2 มอบที่ดินทั้ง 6 โฉนดให้ทำจำนองประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีก็ตาม การที่นายพิชญ์ ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้ทำจำนองแทนโดยต้องไถ่จำนองที่ดินโฉนดที่ 14850 ของลูกหนี้ที่ 2 และรับโอนที่ดินโฉนดที่ 9313 มาเป็นของลูกหนี้ที่ 2 ก่อนแล้วจึงทำจำนองที่ดินทั้ง 2 โฉนดต่อเจ้าหนี้ เมื่อเสร็จแล้ว จึงได้ทำจำนองที่ดินโฉนดที่ 59396 ถึง 59399อีก 4 โฉนด ดังที่นายพิชญ์ พยานเจ้าหนี้ให้การนั้นเป็นการทำจำนองที่ดินทั้ง 6 โฉนดเป็นขั้น ๆ ไป จึงต้องใช้เวลา เห็นได้จากคำให้การของนายพิชญ์ที่ว่า ได้จดทะเบียนเสร็จเรียบร้อยในวันเดียวกันทั้ง 6 โฉนด ซึ่งหมายความว่าได้ทำจำนองเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเวลาราชการในวันทำจำนองนั้น หาได้มีพยานฝ่ายเจ้าหนี้ปากใดให้การยืนยันว่า ได้ทำจำนองที่ดินทั้ง 6 โฉนดเสร็จก่อนเที่ยงวันหรือก่อนเวลา 13.30 นาฬิกา ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ 2 ดังที่เจ้าหนี้ฎีกาแต่อย่างใดไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ได้ทำจำนองที่ดินทั้ง 6 โฉนดเสร็จก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ 2 จึงถือว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ไม่ได้

เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกาข้อต่อไปว่า ก่อนที่ลูกหนี้ที่ 2 จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ได้สั่งจ่ายเช็ครายพิพาทจำนวนเงิน 139,402.28 บาท ให้แก่บริษัทเอี๊ยบบราเดอร์ส จำกัด เพื่อเป็นการชำระหนี้ โดยลงวันที่ล่วงหน้าเป็นวันที่ 12 ธันวาคม 2517 จึงถือว่ามูลหนี้ตามเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ออกและมอบเช็คให้แก่ผู้ทรงไปแล้ว และเจ้าหนี้จ่ายเงินตามเช็คไปโดยสุจริตไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ 2 จึงมีสิทธิเรียกชดใช้เอาคืนจากทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 นั้น ได้ความจากคำให้การของนายยังคลูสกรุ๊ฟฟาพยานเจ้าหนี้ว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2517 ลูกหนี้ที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 139,402.28 บาทให้แก่บริษัทเอี๊ยบบราเดอร์ส จำกัด เจ้าหนี้จึงได้จ่ายเงินตามเช็คให้ไปดังนี้ เป็นเรื่องเจ้าหนี้เพิ่งจ่ายเงินตามเช็คของลูกหนี้ที่ 2 ให้แก่บริษัทเอี๊ยบบราเดอร์ จำกัด ไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2517 มูลแห่งหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระจึงเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกหนี้ที่ 2 ได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 แล้ว ดังนั้น แม้เจ้าหนี้จะจ่ายเงินตามเช็คไปโดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 2 เจ้าหนี้ก็จะขอรับชำระหนี้ในเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 คำพิพากษาฎีกาที่ 865/2510 และ 3235/2516 ที่เจ้าหนี้อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้

พิพากษายืน

Share