คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธที่จะร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อ้างเหตุผลว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นความจริง ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคดีมีประเด็นว่าโจทก์เสียหายเท่าไร และพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเพราะโจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพียงประการเดียว ดังนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายเนื่องจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาด้วยเห็นได้ชัดว่าปัญหาข้อนี้มิใช่ปัญหาที่คู่ความได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 และ 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ผู้จะขายสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใด เพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายตารางวาละเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันและแทนกันชำระเงินมัดจำและค่าเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้การว่า ยอมคืนเงินมัดจำให้โจทก์จำนวน 90,000 บาท สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องมาเกี่ยวกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นความจริงเพราะความจริงราคาที่ดินต่ำลงกว่าเดิม ขอให้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องค่าเสียหาย

สำหรับจำเลยที่ 4 โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินมัดจำ 90,000 บาทให้โจทก์ตามที่ได้ยื่นคำให้การรับเข้ามา สำหรับค่าเสียหายเห็นว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะขาดประโยชน์ในการที่โจทก์ควรจะได้ราคาที่ดินสูงขึ้นจำนวน 409,500 บาท เพียงประการเดียว พิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 499,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้ง 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายเนื่องจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาด้วยนั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ยื่นคำให้การปฏิเสธที่จะร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อ้างเหตุผลว่า ค่าเสียหายเกี่ยวกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นความจริง เพราะความจริงราคาที่ดินตกต่ำกว่าเดิม ในส่วนที่ว่าโจทก์จะสร้างตึกแถวขายจะได้กำไร 1,000,000 บาท ก็เป็นการคาดคิดของโจทก์ ซึ่งความจริงโจทก์อาจขาดทุนก็ได้เพราะไม่มีผู้ซื้อ ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องค่าเสียหายศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีประเด็นว่าโจทก์เสียหายเท่าไร และพิพากษาว่าโจทก์เสียหายเนื่องจากขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ราคาที่ดินที่สูงขึ้น 409,500 บาท เห็นได้ชัดว่าปัญหาข้อนี้มิใช่ปัญหาที่คู่ความได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นจำเลยทั้ง 4 จึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249

สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์เรื่องค่าเสียหาย เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2510 อันเป็นวันที่นางจีบทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามฟ้องนั้นที่ดินนี้มีราคาตารางวาละ 1,200 บาท ได้ความจากคำเบิกความของนายมนูญพยานโจทก์ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2514 นางจีบขายที่ดินนี้ให้นายมนูญในราคาตารางวาละ 1,700 บาท และปรากฏในคำเบิกความของตัวโจทก์เองว่าเมื่อปี พ.ศ. 2520 ที่ดินนี้ราคาตารางวาละ 2,000 บาท แสดงให้เห็นว่าหลังจากวันทำสัญญาดังกล่าว ราคาของที่ดินนี้ค่อย ๆ สูงขึ้นเป็นลำดับมา หาใช่เพิ่มขึ้นตารางวาละ 500 บาท หรือ 800 บาท โดยทันทีไม่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ 9 มกราคม 2511 อันเป็นวันที่นางจีบสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใด เพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อขายตารางวาละเท่าใด ตัวเลขที่จะเอามาคำนวณว่าโจทก์ต้องเสียหายขาดประโยชน์ที่ควรมีควรได้จากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเป็นเงินเท่าใดจึงไม่มี เมื่อพิเคราะห์ถึงระยะเวลาและราคาที่เพิ่มขึ้นโดยลำดับมาของที่ดินนี้ตามพยานหลักฐานของโจทก์แล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายในการนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 25,000 บาท เป็นการสมควรแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข

พิพากษายืน

Share