แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ให้การลงโทษเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในข้อหาดังกล่าวมาโดยไม่รอการลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2535 ถึงวันที่กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังจับตัวไม่ได้ร่วมกันพรากผู้เยาว์โดยการพาตัวนางสาววัชรา คุณพระรักษา ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางทวี คุณพระรักษา ผู้เป็นมารดา โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เพื่อการอนาจาร และวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2535จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยโดยเข้าประทุษร้าย จนจำเลยสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมแต่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และระหว่างวันที่ 29 มกราคม2535 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ภายในบ้านพัก โดยคอยควบคุมดูแลมิให้ผู้เสียหายหลบหนี เป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 318,310, 83, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 318 วรรคท้าย, 83ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี 9 เดือน ปรับ 9,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 4 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกและไม่คุมความประพฤติจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำเลย ซึ่งเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในข้อหาดังกล่าวมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีการับวินิจฉัยเฉพาะข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารซึ่งตามฎีกาจำเลยที่ว่าสมควรจะรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นั้น จากรายงานที่พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกผู้เสียหายกับจับผู้เสียหายมัด ใช้ผลส้มอุดปาก มีการกักขัง ข่มขู่ผู้เสียหายพฤติการณ์แห่งคดีเป็นภัยร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารเป็นดุลพินิจที่ชอบ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรกโดยให้บังคับคดีในข้อหานี้ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น