คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6913-6916/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ส่วนการที่โจทก์ทั้งสามได้จัดการออก น.ส.3 ในที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ทั้งสามก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 3 ก็ได้สิทธิครอบครองแล้ว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องแย้งและฎีกาขึ้นมา แต่เนื่องจากฟ้องเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงไม่ยุติไปตามคดีที่ต้องห้ามและไม่ให้ฎีกาขึ้นมา จึงทำให้คำวินิจฉัยในส่วนนี้ของศาลอุทธรณ์ภาค 4 และศาลฎีกาขัดกันต้องบังคับตามมาตรา 146 วรรคหนึ่ง โดยถือตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า จำเลยที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท

ย่อยาว

คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์ในสำนวนที่ 2 และที่ 4 ว่า โจทก์ที่ 2 เรียกโจทก์ในสำนวนที่ 3 ว่า โจทก์ที่ 3 และเรียกจำเลยทั้งสามทั้งสี่สำนวนว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 32 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 35 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 24 หน้า 158 สารบบเล่มที่ 36 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี โจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 34 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี ที่ดินแต่ละแปลงมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ตำบลนาวัง กิ่งอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู จำเลยที่ 1 แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน อำเภอนากลางว่าได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 28 มาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองและทำประโยชน์มาเกิน 10 ปีแล้ว แต่ ส.ค.1 ฉบับเจ้าของที่ดินและฉบับของสำนักงานที่ดินสูญหาย เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนากลางหลงเชื่อจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ตำบลวังทอง อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ 43 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งความจริงแล้ว ส.ค.1 ที่จำเลยที่ 1 อ้างเป็นเอกสารปลอมและออกทับที่ดินบางส่วนของโจทก์ทั้งสามเนื้อที่แปลงละประมาณ 5 ไร่ ปรากฏตามรูปแผนที่บริเวณสีเหลือง (ที่ถูกสีเขียว) แต่ละสำนวน จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 รวมทั้งที่ดินของโจทก์ทั้งสามให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ทั้งสามมิได้รู้เห็นและยินยอมด้วย จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิที่จะขายจึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ได้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 รวมทั้งที่ดินในส่วนของโจทก์ทั้งสามให้แก่จำเลยที่ 3 โดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้รู้เห็นและยินยอม จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินไปจากผู้ไม่มีสิทธิที่จะขาย แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองที่ดินดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันที่ดินในส่วนของโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง โจทก์ทั้งสามทราบการกระทำของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ตำบลวังทอง อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภู) ในส่วนที่ทับที่ของโจทก์ทั้งสาม และห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ทั้งสี่สำนวนให้การว่า หนังสือ ส.ค.1 ที่จำเลยที่ 1 นำมาใช้เป็นหลักฐานในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 เป็นเอกสารที่ถูกต้อง ขณะที่จำเลยที่ 1 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว โจทก์ทั้งสามทราบ แต่ไม่โต้แย้งคัดค้าน หนังสือรับรองทำประโยชน์ดังกล่าวจึงออกโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินจึงมีสิทธิขายให้แก่จำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ทั้งสี่สำนวนขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ทั้งสี่สำนวนให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสามไม่ใช่เจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่มที่ 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 32, เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 35, เล่ม 24 หน้า 158 สารบบเล่มที่ 36 และเล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 34 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี โจทก์ทั้งสามออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิครอบครองจึงไม่ชอบ และโจทก์ทั้งสามไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองมีอำนาจจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ได้ การซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสามจึงสมบูรณ์ จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด โดยเลี้ยงวัว และทำรั้วล้อมรอบ อีกทั้งได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพิ่มเติมมีเนื้อที่ประมาณ 218 ไร่ ซึ่งครอบคลุมที่ดินที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นผู้สิทธิครอบครองทั้งสี่แปลง จำเลยที่ 3 ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบโดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 และมีสิทธิครอบครองในที่ดินที่โจทก์ทั้งสามออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 3 และให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 32, เล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 34, เล่ม 24 หน้า 158 สารบบเล่มที่ 36 และเล่ม 24 หน้า 157 สารบบเล่มที่ 35 ตำบลนาวัง กิ่งอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งสี่แปลง
โจทก์ทั้งสี่สำนวนให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยืนยันตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามและให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีบุคคลผู้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองแทน โดยความสงบโดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ตำบลวังทอง อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภู) ห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 32, เลขที่ 35, เลขที่ 36 และเลขที่ 34 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี ส่วนจำเลยที่ 3 มีชื่ออยู่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ตำบลวังทอง อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 28 ไปออก น.ส.3 ก. เลขที่ 5 และจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์ทั้งสามหรือจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เห็นว่า โจทก์ที่ 2 เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านว่า นับตั้งแต่โจทก์ที่ 2 ซื้อที่ดินมา โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เข้าทำประโยชน์แต่อย่างใด แต่ได้ให้ชาวบ้านดูแลไว้แทน รวมทั้งโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 ก็มิได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านว่า มิได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด คำบิกความของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ดังกล่าวจึงมีความหมายชัดเจนว่าตั้งแต่ซื้อที่ดินพิพาทมาโจทก์ทั้งสามยังไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลยและไม่เคยเข้าไปดูแลหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ที่โจทก์ทั้งสามเบิกความว่าได้ให้ชาวบ้านดูแลไว้แทนนั้น ก็เป็นเพียงการเบิกความลอยๆ โดยมิได้นำชาวบ้านที่โจทก์ทั้งสามอ้างดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุนให้เห็นตามที่เบิกความว่าได้ดูแลไว้แทนจริงและได้ทำประโยชน์อะไรในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ โจทก์ทั้งสามไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ดินพิพาทมาเบิกความสนับสนุน คงมีแต่ตัวโจทก์ทั้งสามและนายชัชพล ทวีวัฒน์ ลูกจ้างของโจทก์ทั้งสามที่เบิกความเท่านั้น คำเบิกความของโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักให้รับฟังน้อย ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านว่า ที่ดินพิพาทได้มาจากการซื้อขายนั้น ก็ไม่มีหลักฐานการซื้อขายมาแสดง ส่วนจำเลยที่ 3 นอกจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 เบิกความเป็นพยานแล้วยังมี นายเล็ก ใยแก้ว นางสมศักดิ์ สายพฤกษ์ นายสถิต ผลจันทร์ นางอ้น คีรี นายตัก ชายแก้ว ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อยู่ตำบลเดียวกับที่ดินพิพาท เบิกความสนับสนุนประกอบสอดคล้องตรงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 3 ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเลี้ยงวัว ปลูกสร้างบ้านพักคนงาน โรงเก็บหญ้า พยานจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ดินพิพาทและอยู่ในบริเวณที่ดินพิพาทตั้งอยู่มาเป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่ามีเรื่องโกรธเคืองกับโจทก์ทั้งสาม ย่อมเชื่อได้ว่าพยานเบิกความตามความจริง ดังนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสาม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ส่วนการที่โจทก์ได้จัดการออก น.ส.3 ในที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ทั้งสามก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายแพ่และพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 3 ก็ได้สิทธิครอบครองแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องแย้งและฎีกาขึ้นมา แต่เนื่องจากฟ้องเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงไม่ยุติไปตามคดีที่ต้องห้ามและไม่ให้ฎีกาขึ้นมา จึงทำให้คำวินิจฉัยในส่วนนี้ของศาลอุทธรณ์ภาค 4 และศาลฎีกาขัดกัน ต้องบังคับตามมาตรา 146 วรรคหนึ่ง โดยถือตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาว่าจำเลยที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 32, 35, 36, 34 ตำบลโคกนาเหล่า (นาแก) อำเภอนากลาง จังหวัดอุดรธานี ของโจทก์ทั้งสาม ห้ามโจทก์ทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยที่ 3

Share