คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7393/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ และ พ. เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ พ. ย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า พ. ผู้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจาก พ. จำเลยครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้จึงไม่มีปัญหาในเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ดินเป็นของบุคคลอื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองเอง จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนหรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 วรรคสอง และมาตรา 1375 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามเส้นสีแดงของแผนที่ท้ายฟ้องเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 หมู่ที่ 4 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ของโจทก์ และให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 ตกเป็นโมฆะและเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทในส่วนที่สามตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เฉพาะพื้นที่ภายในเส้นสีฟ้าประ ลักษณะเป็นรูปสารเหลี่ยมเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทะเบียบเล่ม 3 หน้า 140 หน้าเลขที่ 96 หมู่ที่ 4 (ที่ถูก หมู่ที่ 2) ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า นายสุทิน จันทร์อัมพร กับนางสร้อยฟ้า จันทร์อัมพร เป็นบุตรของนางยิ้มหรือยิ้น จันทร์อัมพร โดยนางสร้อยฟ้าเป็นพี่นายสุทินและเป็นพี่มารดาของนางพิศมัย ชัยวัฒน์ ส่วนนายแสงไชยหรือแสงชัย จันทร์อัมพร เป็นบุตรของนายสุทิน เดิมนายแสงไชยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 โจทก์กับนายแสงไชยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นายแสงไชยถึงแก่ความตายเมื่อปี 2537 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายแสงไชยตามคำสั่งศาล จากนั้นโจทก์ได้ดำเนินการโอนที่ดินแปลงดังกล่าวทางทะเบียนมาเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้รับมรดกเดิมนางสร้อยฟ้าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 989 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 7 นางสร้อยฟ้าถึงแก่ความตายเมื่อปี 2514 จากนั้นได้มีการโอนที่ดินของนางสร้อยฟ้าทางทะเบียนมาเป็นของนางพิศมัย ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2536 นางพิศมัยยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวในนามเดิม และวันที่ 23 พฤษภาคม 2537 นางพิศมัยขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทแบ่งแยกในนามเดิม โดยขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 989 ออกเป็นโฉนดที่ดินแปลงใหม่ 2 แปลง แปลงแรกโฉนดเลขที่ 14188 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 7.5 ตารางวา ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนสิทธิประเภทแบ่งแยกในนามเดิมและสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 8 แปลงที่สองโฉนดเลขที่ 14187 เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนสิทธิประเภทแบ่งแยกในนามเดิมและสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 หลังจากแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลงดังกล่าวแล้ว คงเหลือเนื้อที่ตามโฉนดเลขที่ 989 เพียง 1 ไร่ 3 งาน 66.3 ตารางวา ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2537 นางพิศมัยนำเนื้อที่ดินที่เหลือตามโฉนดเลขที่ 989 ดังกล่าว รวมกันกับที่ดินที่นางพิศมัยอ้างว่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีหลักฐานเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน ไปขอออกโฉนดที่ดินแปลงใหม่คือโฉนดเลขที่ 15627 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีและสำเนาบันทึกการสอบสวนการครอบครองที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินแปลงใหม่เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 นางพิศมัยจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 ให้แก่จำเลย ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 สำหรับที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้โจทก์และจำเลยนำชี้รังวัดคือที่ดินในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เฉพาะตามเส้นแดงเนื้อที่ 3 ไร่ 12.3 ตารางวา โจทก์นำรังวัดอ้างว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ส่วนจำเลยนำชี้รังวัดภายในเส้นสีแดงนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนทางด้านทิศใต้ตามเส้นสีฟ้าประ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา จำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.5 ที่นางพิศมัโยขายให้แก่จำเลยพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 และส่วนทางด้านทิศเหนือลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมอันเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 14187 เนื้อที่ของโฉนดดังกล่าว เฉพาะเท่าที่อยู่ภายในเส้นสีแดงมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 2.2 ตารางวา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ภายในเส้นสีฟ้าประเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา ว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของโจทก์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินภายในเส้นสีฟ้าประ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10.1 ตารางวา เป็นของโจทก์ ดังนั้น ที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือภายในเส้นสีแดงที่โจทก์นำรังวัดอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินภายในเส้นสีฟ้าประ ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันสรุปได้ว่า เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 เป็นของนายแสงไชยสามีโจทก์ เมื่อนายแสงไชยถึงแก่ความตายจึงได้รับโอนมาเป็นของโจทก์ โดยที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่หมู่ที่ 2 สาเหตุที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวระบุว่าอยู่หมู่ที่ 4 เนื่องจากระบุผิดพลาดตามที่อยู่เดิมของนายแสงไชย ซึ่งเจ้าพนักงานผู้ทำการรังวัดทำแผนที่วิวาทได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสอบถามจากนายวีระชัย วีระวงศ์ นางบุญรวม โลหวัฒนกิจ และนายจง จุ่มอยู่ ต่างให้ถ้อยคำยืนยันว่าที่ดินที่ทำแผนที่วิวาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 และอยู่หมู่ที่ 2 จริง ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 เดิมนายแสงไชยและโจทก์ไม่ได้เข้าทำประโยชน์เนื่องจากนายสุทินบิดาของนายแสงไชยต้องการเก็บกินในที่ดินดังกล่าว โดยให้นางพิศมัยเป็นผู้ดูแลและส่งผลประโยชน์ให้แก่นายสุทินทุกปี ภายหลังที่ดินแปลงดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามส่วน เนื่องจากมีคลองและถนนตัดผ่าน ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2543 โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่นางพิศมัยและจำเลยคัดค้าน โดยจำเลยคัดค้านว่าที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยตามใบ ภ.บ.ท.5 ที่ซื้อมาจากนางพิศมัย นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางสาวภารดี จันทร์อัมพร บุตรของโจทก์เป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์ แม้โจทก์และนางสาวภารดีจะเบิกความแตกต่างกับคำเบิกความของนายสุทินในเรื่องผลประโยชน์ที่เก็บจากผู้เช่า ก็เป็นเพียงพลความมิใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ยังเบิกความได้สอดคล้องต้องกันกับคำให้การตามบันทึกถ้อยคำของนายวีระชัย อายุ 65 ปี ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ประมาณปี 2512 ถึง 2532 และเคยเป็นกำนันตำบลหวายเหนียวตั้งแต่ประมาณปี 2532 ถึง 2537 นางบุญรวม อายุ 64 ปี และนายจง อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงที่ดินพิพาทมาแต่เดิมต่างยืนยันตรงกันว่า ที่ดินที่ทำแผนที่วิวาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์ ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 อีกทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านว่านายวีระชัย นางบุญรวมและนายจงมิได้รู้เห็นเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีฟ้าประตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ของโจทก์ แม้นายแสงไชยและโจทก์จะไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยตนเอง แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความจากโจทก์และนางสาวภารดีว่า นายแสงไชยและโจทก์ได้ให้นายสุทินเป็นผู้เก็บกินในที่ดินพิพาท และนายสุทินให้นางพิศมัยเป็นผู้ดูแลแทนและส่งผลประโยชน์ให้แก่นายสุทิน โดยโจทก์อ้างส่งคำเบิกความของนายสุทินซึ่งได้เบิกความต่อศาลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องนายพิศมัยเป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นพยาน จึงเชื่อได้ว่านายแสงไชยและโจทก์ให้นายสุทินเป็นผู้เก็บกินในที่ดินพิพาท และนายสุทินให้นางพิศมัยเป็นผู้ดูแลและเก็บผลประโยชน์แทน แม้โจทก์จะไม่ได้นำนายสุทินมาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ด้วย เนื่องจากมีอายุมากและความจำเริ่มบกพร่อง แต่เมื่อรับฟังคำเบิกความของนายสุทินในคดีที่โจทก์ฟ้องนางพิศมัยเป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทประกอบคำเบิกความของโจทก์และนางสาวภารดีแล้วมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่านายสุทินและนางพิศมัยครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายแสงไชยและโจทก์ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทตามใบ ภ.บ.ท.5 มาพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 14187 จากนางพิศมัย โดยเสียค่าตอบแทนและจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด จำเลยครอบครองโดยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2537 จำเลยจึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ และนางพิศมัยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว นางพิศมัยย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านางพิศมัยผู้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้ยึดถือครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และมาตรา 1375 กำหนดระยะเวลาในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนซึ่งสิทธิครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวน หรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนางพิศมัย จำเลยครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้ จึงไม่มีปัญหาในเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ดินของบุคคลอื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองเอง จึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนหรือนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share