แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกและทำรั้วลวดหนามกับก่อสร้างอาคารห้องน้ำปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ซึ่งจำเลยอ้างว่าอยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19603 ของจำเลย โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับห้ามจำเลยปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วลวดหนามและอาคารห้องน้ำที่ปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ออกไป กับห้ามจำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด แม้จำเลยให้การว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19603 ของจำเลย ย่อมเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีจึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ อันจะทำให้กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทได้ คดีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงสุราษฎร์ธานีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับห้ามจำเลยปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วลวดหนามที่รุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ รวมทั้งอาคารห้องน้ำออกจากทางสาธารณประโยชน์ กับห้ามจำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางสาธารณประโยชน์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากทางสาธารณประโยชน์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงให้โอนคดีนี้ไปให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย แต่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีเห็นว่าเป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงไม่รับโอนคดีและคืนสำนวนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป ศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนมาแล้วแจ้งคำสั่งของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีให้คู่ความทราบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกและทำรั้วลวดหนามกับก่อสร้างอาคารห้องน้ำปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์กว้าง 5 เมตร ยาว 200 เมตร ซึ่งจำเลยอ้างว่าอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 19603 ของจำเลย โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับห้ามจำเลยปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วลวดหนามและอาคารห้องน้ำที่ปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ออกไป กับห้ามจำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด แม้จำเลยให้การว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 19603 ของจำเลย ย่อมเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีจึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ อันจะทำให้กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทได้ คดีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงสุราษฎร์ธานีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย จึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไม่รับโอนคดีไว้พิจารณาพิพากษาและคืนสำนวนไปยังศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีและคำสั่งจำหน่ายคดี ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ