คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14802/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ได้ให้เช่าซื้อทองรูปพรรณแก่จำเลยแล้ว กรรมสิทธิ์ในทองรูปพรรณดังกล่าวยังคงเป็นของโจทก์ ส่วนจำเลยคงมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์เท่านั้น การที่จำเลยนำทองรูปพรรณไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต ถือได้ว่าจำเลยเบียดบังทองรูปพรรณของโจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริตแล้ว แม้ จ. เบิกความว่า จำเลยตกลงจะเอาทองรูปพรรณของโจทก์มาคืนหรือจะนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากความผิดยักยอกได้เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการบรรเทาผลร้ายให้ได้รับการลงโทษทางอาญาน้อยลงเท่านั้น หาใช่เป็นการตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งแล้วผิดสัญญากันไม่ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา แต่โต้เถียงว่าการที่จำเลยนำทองรูปพรรณที่เช่าซื้อจากโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว มิใช่เป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อทองรูปพรรณกัน จำเลยมีหน้าที่ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อตามจำนวนงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อ แม้จำเลยจะเอาทองรูปพรรณไปขายต่อให้แก่ผู้อื่น โดยที่มิได้มีการโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่ผู้นั้น แสดงว่าจำเลยยังคงต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้ออยู่จนกว่าจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน โจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างจากจำเลย ประกอบกับนายจเร บิดาโจทก์ เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเคยมาพบเพื่อขอผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทองรูปพรรณที่จำเลยผิดนัด และจะนำทองรูปพรรณที่เช่าซื้อมาคืนให้ หรือมิฉะนั้นก็จะชำระค่าเสียหายให้อีกประมาณ 2 หรือ 3 วัน แต่หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่มาติดต่ออีกเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่ากรณีเป็นเพียงการกระทำผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการเบียดบังเอาทองรูปพรรณดังกล่าวไปเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ได้ให้เช่าซื้อทองคำรูปพรรณแก่จำเลยแล้ว กรรมสิทธิ์ในทองคำรูปพรรณดังกล่าวยังคงเป็นของโจทก์ ส่วนจำเลยคงมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์เท่านั้น การที่จำเลยนำทองคำรูปพรรณไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต ถือได้ว่าจำเลยเบียดบังทองคำรูปพรรณของโจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริตแล้ว แม้นายจเรเบิกความว่า จำเลยตกลงจะเอาทองคำรูปพรรณของโจทก์มาคืนหรือจะนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากความผิดยักยอกได้เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการบรรเทาผลร้ายให้ได้รับการลงโทษทางอาญาน้อยลงเท่านั้น หาใช่เป็นการตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งแล้วผิดสัญญากันไม่ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา แต่โต้เถียงว่าการที่จำเลยนำทองรูปพรรณที่เช่าซื้อจากโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว มิใช่เป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นว่า หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว คดีอาจมีผลต่อการฎีกาของโจทก์ตามกฎหมายได้ จึงสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share