คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของโจทก์ และจำเลยผิดสัญญาและค้างชำระเงิน จำเลยให้การรับว่า ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์และไม่ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จริง แต่อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ เพราะจำเลยเป็นคนต่างด้าว ไม่มีสิทธิได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ และทำสัญญาด้วยความสำคัญผิดในสารสำคัญแห่งนิติกรรมดังนี้ จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นใหม่ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โดยมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมายและสำคัญผิดในสารสำคัญของนิติกรรมมิใช่เพียงปฏิเสธว่าไม่ผิดสัญญาเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าการที่จำเลยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อ ไม่เป็นผิดสัญญาจำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าสัญญานั้นไม่มีผลผูกพันอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญา
สนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีนซึ่งเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2489 ความในข้อ 6แห่งสนธิสัญญามีว่า คนชาติแห่งอัครภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั่วอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นยังมีผลใช้บังคับตลอดไป ไม่ว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐจีนจะไปตั้งอยู่ที่ไต้หวันหรือเกาะฟอโมซาเพราะสนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีนยังมีต่อกันอยู่ หาได้ถูกยกเลิกไปไม่
สำเนาหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ 2639/2504 ลงวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2504 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ระบุสัญชาติคนต่างด้าวที่มีสิทธิขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินตามมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยไม่ระบุคนต่างด้าวสัญชาติจีนรวมอยู่ด้วย และจำเลยแนบติดมาท้ายฎีกาของจำเลยนั้นจำเลยไม่ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ก่อนและไม่มีเจ้าหน้าที่รับรองว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้องทั้งไม่ใช่กฎหมาย ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 มิได้บัญญัติห้ามเด็ดขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติจีนและเป็นผู้เช่าซื้อที่ดินของโจทก์ยังอยู่ในวิสัยที่จะไปขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้และไม่ใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสัย สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยจึงสมบูรณ์ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5-6/2511)
ฎีกาจำเลยในข้อที่ว่า การชำระเงินค่าเช่าซื้อ แม้จะผิดพลาดไปบ้างโจทก์ไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญาก็ดี หรือโจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาก็ดีจำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น จำเลยจะยกขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้
จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ชำระเงินให้ ป. ซึ่งโจทก์เป็นหนี้ ป. แทนโจทก์ โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ชำระเงินแทนและโจทก์มิได้เป็นหนี้แต่จำเลยกลับนำสืบว่าจำเลยส่งมอบข้าวสารไม่ใช่ชำระเงินแทนจึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องแย้งของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 1499 พร้อมทั้งโรงสีข้าวเป็นเงิน 350,000 บาท ตกลงชำระเงินให้เสร็จภายใน 25 เดือน จำเลยผิดสัญญาและค้างชำระเงินโจทก์ 80,000 บาทโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ฯลฯ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าชำระเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์แล้วรวม100,000 บาท โจทก์จำเลยไม่สามารถที่จะโอนหรือรับโอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ได้เพราะจำเลยเป็นคนต่างด้าว สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์ต้องคืนเงินที่รับไป และจำเลยเข้าทำสัญญาด้วยความสำคัญผิดในสารสำคัญแห่งนิติกรรม เครื่องสีข้าวของโจทก์ใช้การไม่ได้จำเลยได้ซ่อมเครื่องสีข้าวและซ่อมตัวโรงสี รวมค่าซ่อม 40,000 บาท โจทก์ต้องใช้คืน และจำเลยชำระเงินให้นายประกอบไป 1,370 บาทแทนโจทก์และโจทก์เอาเงินไปจากจำเลยเป็นพิเศษอีก 2,150 บาท โจทก์ต้องคืน จึงฟ้องแย้งให้โจทก์คืนและใช้เงิน 4 จำนวนดังกล่าวรวม 143,520 บาท

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า แม้จำเลยมีสัญชาติเป็นจีนก็สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ได้ สัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ จำเลยมิได้สำคัญผิดในสารสำคัญของสัญญา จำเลยไม่เคยออกเงินจำนวน 1,370 บาท ใช้แทนโจทก์โจทก์ไม่เคยได้รับเงินจำนวน 2,150 บาทจากจำเลย

ระหว่างพิจารณา จำเลยและบริวารยินยอมออกจากโรงสีพิพาท

ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อให้โจทก์ให้โจทก์ใช้เงินค่าซ่อมโรงสีและเครื่องสีข้าว 40,000 บาท ฯลฯ คำขอของโจทก์จำเลยนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินค่าซ่อมแซมโรงสีแก่จำเลย 40,000 บาท ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนอุทธรณ์โจทก์เรื่องคำขอให้ขับไล่จำเลยศาลแพ่งมิได้พิพากษาให้ขับไล่เพียงให้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อโจทก์มีคำขอให้ขับไล่ ศาลก็ควรพิพากษาให้ขับไล่ เผื่อจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์อีก พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ให้ยกฟ้องแย้งที่ให้โจทก์ชดใช้ค่าซ่อมแซมทรัพย์ที่เช่าซื้อ ยกอุทธรณ์จำเลย ฯลฯ

จำเลยฎีกา

ในเรื่องหน้าที่นำสืบ ได้ความตามคำให้การของจำเลยรับว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ และไม่ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จริงตามฟ้อง แต่อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะเพราะจำเลยเป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นใหม่ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะโดยมีวัตถุที่ประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมายและสำคัญผิดในสารสำคัญของนิติกรรม มิใช่เพียงปฏิเสธว่าไม่ผิดสัญญา กลับอ้างความเสียเปล่าของโมฆะกรรมขึ้นต่อสู้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าการที่จำเลยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อ ไม่เป็นการผิดสัญญา เพราะสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบก่อนว่าสัญญานั้นไม่มีผลผูกพันอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาดังที่จำเลยกล่าวอ้าง

จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 เพราะจำเลยเป็นคนสัญชาติจีน ศาลฎีกาเห็นว่าสนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีนซึ่งได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2489 ความในข้อ 6 แห่งสนธิสัญญานั้นมีว่า คนชาติแห่งอัครภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั่วอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ยังมีผลใช้บังคับตลอดไป ไม่ว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐจีนจะไปตั้งอยู่ที่ไต้หวันหรือเกาะฟอโมซา เพราะสนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีนยังมีต่อกันอยู่ หาได้ถูกยกเลิกไปโดยปริยายดังฎีกาของจำเลยไม่ จำเลยย่อมอยู่ในข่ายที่จะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ ส่วนสำเนาหนังสือของกระทรวงมหาดไทยที่ 2639/2504 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2504 ระบุสัญชาติคนต่างด้าวที่มีสิทธิขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินตามมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยไม่ได้ระบุคนต่างด้าวสัญชาติจีนรวมอยู่ด้วย ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดซึ่งจำเลยแนบติดมาท้ายฎีกาของจำเลยนั้น สำเนาหนังสือดังกล่าวนี้จำเลยไม่ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ก่อนและไม่มีเจ้าหน้าที่รับรองว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้อง ทั้งไม่ใช่กฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ประเด็นที่ว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยจะตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 86 มิได้บัญญัติห้ามเด็ดขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยยังอยู่ในวิสัยที่จะไปขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ และไม่ใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสัย สัญญาเช่าซื้อจึงสมบูรณ์

จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ เพราะสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จะริบเงินที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้นั้น เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ กับฟังได้ตามคำฟ้องโจทก์ เพราะจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2502 ตลอดมาจนถึงวันฟ้องจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อข้อ 2 ที่จำเลยฎีกาว่าการชำระเงินค่าเช่าซื้อแม้จะผิดพลาดไปบ้าง โจทก์ไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญาก็ดีหรือโจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็ดี ฎีกาของจำเลยดังกล่าวมานี้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น จำเลยจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์แล้วและเห็นว่าโจทก์จึงมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อจำนวนเงิน 100,000 บาทที่จำเลยชำระให้โจทก์แล้วได้ตามสัญญาข้อ 6 ฉะนั้น จำเลยจะขอคืนเงินจำนวนนี้หาได้ไม่

นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ซ่อมแซมขนาดใหญ่อันเป็นหน้าที่เจ้าของทรัพย์หรือผู้ให้เช่าต้องชดใช้ จำเลยจึงเรียกร้องเอาเงินค่าซ่อมแซมจำนวน 40,000 บาท ไม่ได้ ส่วนประเด็นเรื่องฟ้องแย้งข้อนี้ของจำเลยจะเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาไม่ต้องวินิจฉัย

จำเลยฎีกาว่า เงินจำนวน 1,370 บาท เป็นราคาข้าวสารซึ่งจำเลยส่งมอบข้าวสารให้นายประกอบและนายสถิตย์แทนโจทก์ โจทก์ต้องใช้คืนให้จำเลยนั้น ข้อนี้จำเลยมิได้ฟ้องเรียกราคาข้าวสารที่จำเลยส่งมอบให้ผู้อื่นตามคำสั่งของโจทก์ แต่ฟ้องแย้งว่าจำเลยได้ชำระเงินให้นายประกอบ 1,370 บาท ซึ่งโจทก์เป็นหนี้นายประกอบแทนโจทก์ โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ชำระเงินแทนและโจทก์มิได้เป็นหนี้นายประกอบแต่จำเลยกลับนำสืบว่าจำเลยส่งมอบข้าวสารไม่ชำระเงินแทน จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องแย้งของจำเลย จะขอให้ศาลพิพากษานอกฟ้องแย้งหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share