แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาแบ่งทรัพย์มรดกมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750.
ฟ้องบรรยายว่าบรรดาทายาทนำพินัยกรรมไปให้เจ้าพนักงานอำเภอเปิดและยินยอมทำบันทึกประนีประนอมแบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรมระหว่างทายาท โจทก์ได้ที่ดินแปลงพิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์. ดังนี้ เป็นการฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามสัญญาแบ่งทรัพย์. และเมื่อทำสัญญาแล้ว โจทก์ก็ครอบครองที่พิพาทตลอดมา. เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอแบ่งมรดก. จำเลยจึงอ้างเอาอายุความมรดกมาบังคับแก่คดีไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนายครุฑและนายสมคิดซึ่งเกิดจากนายนาค นายนาคทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ทายาทรวม 8 คน ทายาทนำพินัยกรรมไปให้เจ้าพนักงานอำเภอเปิด ได้ยินยอมทำบันทึกประนีประนอมแบ่งทรัพย์กัน นายครุฑนายสมคิดได้รับมรดกที่ดิน1 แปลงตามข้อตกลงบันทึกมอบให้จำเลยจัดการยื่นคำร้องขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ โดยใส่ชื่อนายครุฑนายสมคิดแทนเจ้ามรดกจำเลยไม่จัดการดังกล่าว โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ จำเลยได้มอบให้นายกวียื่นคำคัดค้าน ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองเลขที่ 69 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์2498 เป็นกรรมสิทธิ์ของนายครุฑนายสมคิด ฯลฯ จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจำเลยครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว การที่จำเลยยอมให้เจ้าหน้าที่อำเภอบันทึก ก็เพราะถูกนายแลและนางพิศหลอกลวงบันทึกพินัยกรรมมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกและอายุความละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บันทึกนั้นศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาแบ่งทรัพย์นี้ศาลฎีกาเห็นว่ามีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1750 และตามฟ้องของโจทก์ก็เป็นการฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามสัญญาแบ่งทรัพย์มรดก อนึ่งเมื่อทำสัญญากันแล้วโจทก์ก็ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์หาได้ฟ้องขอแบ่งมรดก ดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาไม่ จำเลยจะอ้างเอาอายุความมรดกมาบังคับแก่คดีไม่ได้ พิพากษายืน.