แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าโจทก์จ่ายเงินให้จำเลยในการที่จำเลยจะหาทนายฟ้องนายหมะ เรื่องแย่งกรรมสิทธิที่ดิน 6 แปลง ถ้าแพ้คดีนายหมะ เงินที่โจทก์จ่ายไปเป็นพับ ถ้าคดีชนะจำเลยยอมมอบกรรมสิทธิที่ดิน 6 แปลงให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ต้องเลี้ยงดูจำเลยจนตลอดชีวิตร ดังนี้ เป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่งคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนในมูลคดีนั้น ๆ ย่อมเป็นการแสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น อันเป็นความกัน นับว่าเป็นการขัดแก่ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ป.ม.แพ่ง มาตรา 113
(อ้างฎีกา 510 / 2468)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงให้โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยในการที่จำเลยจะหาทนายฟ้องนายหมะ เรื่องแย่งกรรมสิทธิที่ดิน 6 แปลง ถ้าคดีแพ้นายหมะ เงินที่โจทก์จ่ายเป็นพับไปถ้าคดีชนะ จำเลยยอมมอบกรรมสิทธิที่ดินทั้ง 6 แปลงให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ต้องเลี้ยงดูจำเลยตลอดชีวิต และทำศพด้วยโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยฟ้องนายหมะต่อศาล ผลที่สุดจำเลยชนะคดี โจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยไป 1500 บาท จำเลยได้ทำสัญญามอบที่ดิน 6 แปลงให้โจทก์ บัดนี้ จำเลยได้ประกาศขายที่ดินให้แก่ผู้มีชื่อ และได้รับเงินมัดจำไว้ จึงขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดิน 6 แปลงให้โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ให้ใช้เงิน 3000 บาท จำเลยให้การรับว่าโจทก์จัดการหาทนายให้จำเลยฟ้องนายหมะ และช่วยติดต่อกับทนายแทนจำเลยจริง แต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยให้สัญญากับโจทก์ดังฟ้องจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยสัญญาพะนันขันต่อ ขัดต่อศีลธรรมอันดี ศาลชั้นต้นให้งดสืบพะยาน แล้วพิพากษาว่า เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะ ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาใช้ได้ตามกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะพิจารณาได้ความตามฟ้องโจทก์จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด โจทก์จะฟ้องเรียกที่ดินตามสัญญาหรือเรียกเงินที่ได้ทดรองไปคืน หาได้ไม่ เพราะสัญญาที่ทำขึ้นโดยตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนในมูลคดีนั้น ๆ ย่อมนับว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นเป็นความกัน นับว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 113
พิพากษากลับ ยกฟ้อง