แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว โจทก์และจำเลยเจรจาตกลงกันในส่วนค่าเสียหายว่า จำเลยยินยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท โดยจำเลยจะผ่อนชำระให้แก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 12 ฉบับ มอบให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา และภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดี แต่ได้นำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินได้ทุกฉบับ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ยอมรับเอาเงื่อนไขตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาเป็นข้อตกลงกันระหว่างโจทก์และจำเลยโดยปริยายแล้ว ส่วนที่โจทก์และจำเลยได้ทำบันทึกในลักษณะเดียวกันมีข้อความเพิ่มเติมจากที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ข้อตกลงให้มีผลผูกพันต่อคู่กรณีไปแม้ว่าจะมีผลของคำพิพากษาคดีนี้ออกมาเช่นไรคู่กรณีตกลงสละสิทธิที่จะเรียกร้องตามผลของคำพิพากษาดังกล่าว …หากจำเลยผิดนัดตามข้อตกลง โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับในส่วนที่เสียผลประโยชน์ได้โดยชอบต่อไปตามคำพิพากษานั้น ก็เป็นเพียงการยืนยันเจตนาของโจทก์กับจำเลยให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการสละสิทธิเพียงชั่วคราว โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาได้นั้น ก็เป็นกรณีที่จำเลยจะต้องผิดนัดตามข้อตกลงนั้นเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยังไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์อ้างในคำขอออกหมายบังคับคดี การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยตามหมายบังคับคดีดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมชำระเงินจำนวน 2,480,000 บาท และ 500,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยได้ทำข้อตกลงฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ว่า โจทก์ยอมรับเงินชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยเพียง 1,000,000 บาท โดยจำเลยจะผ่อนชำระให้เดือนละ 20,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไป ชำระเป็นเช็คคราวละ 12 ฉบับ หากจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป ซึ่งศาลชั้นต้นได้สอบโจทก์จำเลยไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกัน แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาในวันที่ 12 ธันวาคม 2546 ได้พิพากษาตามสิทธิที่โจทก์ถูกละเมิด โดยไม่ได้นำข้อตกลงฉบับนี้มาพิจารณาด้วย จำเลยไม่อุทธรณ์ คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงได้ออกคำบังคับและหมายบังคับคดี
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ถอนการบังคับคดี แจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทเทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว คู่ความมีการตกลงเจรจากันและศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ว่า คู่ความแถลงร่วมกันว่าในส่วนของจำเลยร่วมซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยไม่สามารถตกลงยอดเงินจำนวน 500,000 บาท กันได้ จำเลยและทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่า ไม่ติดใจสืบพยานจำเลย แต่ในส่วนค่าเสียหายยินยอมชดใช้ให้แก่โจทก์จำนวนเงิน 1,000,000 บาท โดยจำเลยจะผ่อนชำระให้แก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท โดยในวันนี้ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจำนวน 12 ฉบับ ฉบับละ 20,000 บาท มอบให้แก่โจทก์ ศาลสอบโจทก์และทนายโจทก์แล้วยืนยันว่าพอใจจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ที่จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ นอกจากข้อตกลงที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว โจทก์และจำเลยยังทำบันทึกข้อตกลงตามสำเนาคู่ฉบับที่จำเลยแนบท้ายอุทธรณ์ในลักษณะเดียวกันโดยมีข้อความเพิ่มเติมว่า ข้อตกลงให้มีผลผูกพันต่อคู่กรณีไปแม้ว่าจะมีผลของคำพิพากษาคดีนี้ออกมาเช่นไร คู่กรณีตกลงสละสิทธิที่จะเรียกร้องตามผลของคำพิพากษาดังกล่าว แต่ให้มีผลบังคับเฉพาะจำเลยร่วมเท่านั้น หากจำเลยผิดนัดตามข้อตกลง โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับในส่วนที่เสียผลประโยชน์ได้โดยชอบต่อไปตามคำพิพากษา เห็นว่า การที่โจทก์ยินยอมรับเช็คจากจำเลยดังกล่าว และภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีและนำเช็คไปเรียกเก็บเงินได้ทุกฉบับ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ยอมรับเอาเงื่อนไขตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างโจทก์และจำเลยโดยปริยายแล้ว ส่วนที่โจทก์จำเลยทำบันทึกเพิ่มเติมนั้น ก็เป็นเพียงการยืนยันเจตนาของโจทก์กับจำเลยให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการสละสิทธิเพียงชั่วคราว โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ หากปรากฏว่าจำเลยผิดนัดตามข้อตกลงและอ้างว่าเช็คที่จำเลยให้ไว้แก่โจทก์ฉบับที่ 12 ถึงกำหนดชำระวันที่ 10 ตุลาคม 2547 จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินครั้งต่อไปให้แก่โจทก์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัด เมื่อโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2547 โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีจำเลยได้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนได้ความว่า โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2547 อ้างว่า จำเลยผิดนัดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยยังไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่อย่างใด เพราะวันที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงได้แก่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 เมื่อจำเลยยังไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่โจทก์อ้างในคำขอออกหมายบังคับคดี การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยตามหมายบังคับคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบ ต้องเพิกถอนหมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีดังกล่าว…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ