คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมิใช่ผู้มิสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออก น.ส.3 ก. เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและ ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออก น.ส.3 ก. ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส.3 ก. สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครอง ให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จำเลยถึงแก่กรรมโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสนอง วิลาวัน ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิตให้จำเลย ดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๗,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตร ส่วนจำเลยเป็นบุตรเขยของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิต นายสวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวนตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙
คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยมิใช่ ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗ จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเสีย
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวนให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เล่ม ๔๗ ก. หน้า ๙ เลขที่ดิน ๑๕๗ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share