แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยยินยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยชอบ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทต่อไป ก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จำเลยชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน จำเลยจึงไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทนทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ทั้งกุญแจพร้อมโซ่ที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดออกเป็นกุญแจของโจทก์ การที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจพร้อมโซ่ของโจทก์จนเสียหายไร้ประโยชน์ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 70/427 และที่ดินโฉนดเลขที่ 94991ได้ตกลงขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ได้วางมัดจำแก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา จำเลยส่งมอบบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เข้าครอบครอง โจทก์ได้ขนย้ายทรัพย์สินเข้าไปในบ้านดังกล่าวเพื่ออยู่อาศัยแล้ว ต่อมาจำเลยได้ตัดกุญแจยี่ห้อโซโลของโจทก์ซึ่งคล้องและติดไว้ที่ประตูบ้านเลขที่ดังกล่าวและนำโซ่เหล็กกับกุญแจยี่ห้อแจ๊คคล้องใส่และปิดไว้ที่สายยูติดตรึงกับประตูหน้าบ้านเลขที่ 70/427 ซึ่งโจทก์ครอบครองอาศัยอยู่ โดยเจตนาเพื่อไม่ให้โจทก์เข้าไปในบ้านดังกล่าวหรือใช้สิทธิครอบครองต่อไป อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์และการที่จำเลยตัดทำลายกุญแจของโจทก์ซึ่งคล้องอยู่ที่หน้าบ้าน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องไร้ประโยชน์ในการใช้ทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 94991 พร้อมบ้านเลขที่ 70/427 ต่อมาจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวแก่โจทก์ในราคา 1,600,000 บาท โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา250,000 บาท จำเลยยินยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านในวันทำสัญญาต่อมาจำเลยได้ตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทน ทำให้โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทไม่ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่สำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่ากุญแจพร้อมโซ่ที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดออกเป็นกุญแจของโจทก์ การที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดกุญแจพร้อมโซ่ของโจทก์จนเสียหายไร้ประโยชน์ ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ส่วนความผิดฐานบุกรุก โจทก์จำเลยต่างนำสืบโต้แย้งกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาท โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญา ส่วนจำเลยก็อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เห็นว่า โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยยินยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญาดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยชอบ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทต่อไป ก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จำเลยชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน ไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทนทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358และ 362 ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท ฐานบุกรุกจำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 2 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30