แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะโจทก์ยื่นอุทธรณ์ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ที่โจทก์ฟ้องยังมิได้ประกาศยกเลิกและขณะมีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติดังกล่าวและให้ใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 แทน ซึ่งอัตราโทษตามกฎหมายใหม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง คดียังค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้ตามที่บทบัญญัติมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 กำหนดให้อำนาจไว้ และมิใช่กรณีที่จะถือว่าคดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลซึ่งมีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534หมายรวมทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มิได้หมายถึงเฉพาะแต่ศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 และขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2494 มาตรา 4ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5051/2532 นั้นไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าว ศาลลงโทษจำคุกจำเลย จึงให้ยกคำขอของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ออกเช็คตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อเช็คครบกำหนด โจทก์นำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเพราะลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ ปัญหาตามฎีกาจำเลยข้อแรกมีว่า ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 และให้ใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 แทน และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4กำหนดโทษผู้กระทำความผิดตามคำฟ้องให้ปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอัตราโทษตามกฎหมายใหม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 ประกอบมาตรา 22 อนุ 5คดีโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาตรา 22 หรือไม่ เห็นว่า ขณะโจทก์ยื่นอุทธรณ์ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ยังมิได้ประกาศยกเลิกและขณะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 คดียังค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้ ตามที่บทบัญญัติมาตรา 10แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 กำหนดให้อำนาจไว้ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับปัญหาตามฎีกาข้อ 2 ของจำเลยที่ว่าการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ก็เพื่อให้คดีตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงฉะนั้นคำว่าศาลตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติว่าสำหรับบรรดาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2515ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ศาลนั้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้นั้นหมายความเฉพาะศาลชั้นต้นเท่านั้น เห็นว่าศาลตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายรวมทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาระหว่างประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มิได้หมายถึงเฉพาะศาลชั้นต้นดังที่จำเลยฎีกามาฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน สำหรับฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยมีว่า จำเลยออกเช็คตามคำฟ้องเพื่อคืนค่ามัดจำและค่าเสียหายให้โจทก์หรือเพื่อให้นายวิลาศไปหาแลกเงินสดมาให้จำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยว่าออกเช็คเพื่อแลกเงินสดนั้นพยานจำเลยรับฟังไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน