คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวน จำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 172,174 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่างทั้ง 2 วินิจฉัยต้องกันว่า จำเลยมิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เป็นการแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยถูกพนักงานสอบสวนสอบสวนเป็นพยานในคดีที่โจทก์กับพวกเป็นจำเลยต้องหากระทำผิดวางเพลิง จำเลยให้การว่า “ข้าพเจ้าเองเมื่อนางแอ๊ดเล่าให้ฟังเช่นนี้มีความรู้สึกสงสัยอยู่เพราะข้าพเจ้าเองก็เคยทราบจากชาวตลาดล่ำลือกันอยู่แล้วว่านายห้างศรีอัมฤทธิ์ผู้นี้ได้จ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้นายเสรี อิทธสมบัติ (โจทก์) เป็นค่าจ้างในการวางเพลิงครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นความจริงเพียงใด” ดังนี้ จำเลยกล่าวแต่เพียงว่าเป็นข่าวเล่าลือ ไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นมาบอกเล่าจำเลย ไม่ใช่คำบอกเล่าที่กล่าวให้ผู้ฟังเชื่อตามคำจำเลย จำเลยถูกสอบสวนเป็นพยานจึงให้การต่อเจ้าพนักงาน ไม่กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจหรือเชื่อว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดได้ เพราะเป็นแต่ข่าวเล่าลือ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตามมาตรา 326.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเอาความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จอาจทำให้โจทก์และประชาชนเสียหาย แจ้งต่อร้อยตำรวจเอกชาลีพนักงานสอบสวนมีใจความสำคัญว่า นายห้างศรีอัมฤทธิ (อมร เทพรัตยาภรณ์ จำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาดำที่ ๓๒/๒๕๐๗) ได้จ่ายเงินให้นายสมาส อมาตยกุล (อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด) หนึ่งแสนบาท และพันตำรวจเอกสุวัฒน์(อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด)ห้าหมื่นบาท สำหรับออกหนังสือรับรองไปให้กับบริษัทประกันภัย และจ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้โจทก์เป็นค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดเมืองร้อยเอ็ด ร้อยตำรวจเอกชาลีได้จดถ้อยคำของจำเลยในบันทึกคำให้การพยานในการสอบสวนเป็นความเท็จจริงทั้งสิ้น ไม่มีเหตุการณ์ดังจำเลยแจ้ง เป็นการใส่ร้ายนายอมร นายสมาส พันตำรวจเอกสุวัฒน์และโจทก์ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เพื่อให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญา ขอให้ลงโทษตามาตรา ๑๗๒,๑๗๔(๒),๓๒๖,๙๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ที่ฎีกาโจทก์ข้อแรกยกตัวบทประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๒,๑๗๔ ขึ้นมากล่าวไว้แล้วโต้เถียงว่าโจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยได้แจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา(ข้อความทำนองเดียวกับที่กล่าวในฟ้อง) ต่อร้อยตำรวจเอกชาลีพนักงานสอบสวน จำเลยต้องมีความผิดตามมาตราดังกล่าวนั้นเห็นว่า ศาลล่างทั้ง ๒ วินิจฉัยต้องกันว่า จำเลยมิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เป็นการแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๙
ฎีกาอีกข้อหนึ่งที่ว่า แม้ถ้อยคำของจำเลยจะเป็นคำบอกเล่าก็ตาม ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๙ จำเลยย่อมผิดตามมาตรา ๓๒๖ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยถูกร้อยตำรวจเอกชาลีสอบสวนเป็นพยานในคดีที่โจทก์กับพวกเป็นจำเลยต้องหากระทำผิดวางเพลิงตามสำนวนคดีดำที่ ๓๒/๒๕๐๗ จำเลยให้การว่า นางแอ๊ดได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับพันตำรวจโทธวัชชัยบอกเล่าแก่นางแอ๊ดให้จำเลยฟัง ไม่มีข้อความเกี่ยวกับตัวโจทก์ แต่ตอนท้ายคำให้การจำเลยกล่าวเกี่ยวถึงตัวโจทก์ว่า “ข้าพเจ้าเอง เมื่อนางแอ๊ดได้เล่าให้ฟังเช่นนี้มีความรู้สึกสงสัยอยู่ เพราะข้าพเจ้าเองก็เคยทราบจากชาวตลาดล่ำลือกันอยู่แล้วว่า นายห้างศรีอัมฤทธิ์ผู้นี้ได้จ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้นายเสรี อิทธสมบัติ(โจทก์) เป็นค่าจ้างในการวางเพลิงครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นความจริงเพียงใด” เห็นได้ชัดว่าจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าเป็นข่าวเล่าลือ ไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นมาบอกเล่าจำเลย ไม่ใช่คำบอกเล่าที่กล่าวให้ผู้ฟังเชื่อตามคำจำเลย จำเลยถูกสอบสวนเป็นพยานจึงให้การต่อเจ้าพนักงาน ไม่กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจหรือเชื่อว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดได้ เพราะเป็นแต่ข่าวเล่าลือกันเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังตามมาตรา ๓๒๖ พิพากษายืน.

Share