คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้นาง ต. ได้ซื้อบ้านพิพาทจากนาง ม. โดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ต่อมานาง ต. ได้ขายบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้ต่อกัน และเมื่อซื้อบ้านพิพาทดังกล่าวแล้วโจทก์ได้เช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทตั้งอยู่จากนาง ข. เพื่ออยู่อาศัยตลอดมา ถือว่า โจทก์ได้รับมอบการครอบครองบ้านพิพาทจากผู้ขายและได้เข้าครอบครองแล้ว ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรนาง ม. เจ้าของบ้านพิพาทเดิมมิได้ครอบครองบ้านดังกล่าวไปคัดค้านการจ่ายเงินทดแทนการเวนคืนบ้านพิพาทจากกรมทางหลวงจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองให้เพิกถอนคำคัดค้านและห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า กรมทางหลวงโดยสำนักงานเขตการทางนครศรีธรรมราชเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเหตุให้บ้านเลขที่ 2 ของโจทก์ซึ่งซื้อมาจากนางตั้ง จูละพันธ์ ถูกเวนคืนด้วย แต่จำเลยทั้งสองยื่นหนังสือคัดค้านการจ่ายเงินทดแทนต่อสำนักงานเขตการทางนครศรีธรรมราชอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเม่งจ่าย จูละพันธ์ เจ้าของบ้านเลขที่ 2 ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วเป็นเหตุให้สำนักงานเขตการทางนครศรีธรรมราชระงับการจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเพิกถอนคำคัดค้านที่ยื่นไว้ และห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทต่อไปหากจำเลยทั้งสองไม่ถอนคำคัดค้าน ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองกับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากเงินค่าทดแทนจำนวน 82,964 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะได้รับเงินค่าทดแทนทั้งหมดหรือจนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านพิพาทและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นางตั้ง จูละพันธ์ และนางสบาย กรรณสุทธิ์ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า นางตั้งได้ซื้อบ้านพิพาทจากนางเม่งจ่ายแต่ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ต่อมานางตั้งได้ขายต่อให้โจทก์โดยทำสัญญาซื้อขายไว้ต่อกัน ทั้งนางเม่งจ่ายยังได้ทำสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทไว้ให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์นำไปจดทะเบียนโอนบ้านเป็นของโจทก์ได้ด้วย และโจทก์ได้เช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทตั้งอยู่จากนางขวัญใจเพื่ออยู่อาศัยในบ้านพิพาทตลอดมา ทั้งนางสบายเบิกความยืนยันว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นที่ปลูกบ้านพิพาทจากนางขวัญใจจริงโดยพยานเป็นผู้เขียนสัญญาเช่าด้วยตนเอง ส่วนจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยที่ 1 ไม่สืบพยาน ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความอย่างเลื่อนลอยว่าลายมือชื่อในช่องผู้ขายตามสัญญาซื้อขายไม่ใช่ลายมือชื่อของนางเม่งจ่ายโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง กรณีรับฟังได้ว่า นางเม่งจ่ายขายบ้านพิพาทให้แก่นางตั้งได้ขายต่อให้แก่โจทก์ ตามสัญญาซื้อขายระหว่างนางตั้งกับโจทก์และระหว่างโจทก์กับนางเม่งจ่าย มีข้อความระบุว่าผู้ขายได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อในวันทำสัญญาซื้อขายประกอบกับเมื่อซื้อบ้านพิพาทแล้ว โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทตั้งอยู่จากนางขวัญใจ และได้ย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในบ้านพิพาท แสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้รับมอบการครอบครองบ้านพิพาทจากผู้ขายและได้เข้าครอบครองบ้านพิพาทเพื่ออยู่อาศัยตลอดมา ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางเม่งจ่ายเจ้าของบ้านเดิมมิได้ครอบครองบ้านพิพาทเลย การที่จำเลยทั้งสองไปคัดค้านการจ่ายเงินทดแทนสำหรับบ้านนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนจากกรมทางหลวง และมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้เพิกถอนคำคัดค้านและห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองถอนคำคัดค้านการจ่ายเงินค่าทดแทนการเวนคืนบ้านพิพาท และห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทอีกต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ถอนคำคัดค้านดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 82,964 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าโจทก์จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าว

Share