แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.วิ.อ. มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ พยานเอกสารหรือพยานบุคคล ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น…” พยานหลักฐานที่จะใช้อ้างหรือพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จึงมิได้จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเป็นประจักษ์พยานเท่านั้น หากแต่เป็นพยานประเภทใดก็ได้ที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือบริสุทธิ์ โจทก์ย่อมนำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ดังนั้น พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีและคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งโจทก์สามารถนำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ เพียงแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนที่อาจใช้ยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้นั้น จะต้องฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 83 ริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขทล สข 686 ของกลาง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน 900 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายทั้งสอง นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4561/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 18 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 12 ปี ริบรถจักรยานยนต์หมายเลยทะเบียน ขทล สข 686 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 900 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสองให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4561/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังที่กล่าวในฟ้อง มีคนร้าย 3 คน ร่วมกันปล้นทรัพย์ ของนายมิ่งขวัญ ผู้เสียหายที่ 1 กับนายหมิงผู้เสียหายที่ 2 ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน ขตธ สข 495 และหมายเลขทะเบียน ขทล สข 686 รวม 2 คัน จึงยึดเป็นของกลาง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความ และที่จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็เพราะว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับและทำร้ายร่างกาย เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือ พยานบุคคล ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น…” พยานหลักฐานที่จะใช้อ้างหรือพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จึงมิได้จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเป็นประจักษ์พยานเท่านั้น หากแต่เป็นพยานประเภทใดก็ได้ที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือบริสุทธิ์ โจทก์ย่อมนำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ดังนั้น พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีและคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งโจทก์สามารถนำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ เพียงแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนที่อาจใช้ยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้นั้น จะต้องฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง สำหรับคดีนี้ แม้ว่าโจทก์ไม่สามารถติดตามตัวผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลได้ แต่โจทก์มีนางจรัสศรีเป็นพยานเบิกความว่า พยานประกอบอาชีพขายอาหารโดยเปิดร้านชื่อมายเวย์ คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายทั้งสองเข้ามานั่งดื่มเบียร์อยู่ในร้าน สักครู่หนึ่งจำเลยทั้งสามเดินเข้ามาในร้าน จำเลยที่ 3 แสดงบัตรว่าเป็นสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมแล้วพูดว่าติดตามตัวผู้เสียหายที่ 1 มาประมาณ 3 วัน แล้วเกี่ยวกับคดียาเสพติด ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายที่ 1 มีบัตรประจำตัวประชาชนให้ดู แต่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จำเลยทั้งสามจึงพาผู้เสียหายทั้งสองไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของพวกผู้เสียหาย 1 คัน และของพวกจำเลยอีก 1 คัน ขับออกจากร้านบอกว่าจะพาไปสถานีตำรวจ ต่อมาประมาณ 2 ชั่วโมง มีเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลชุมพลมาที่ร้านของพยานแจ้งว่าผู้เสียหายทั้งสองถูกปล้นทรัพย์ พยานแจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจว่าจำคนร้ายทั้งสามคนได้เพราะเป็นผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากร้าน ร้อยตำรวจโทอุทิศเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุพยานได้รับแจ้งว่ามีเหตุปล้นทรัพย์เกิดขึ้น เมื่อพยานเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นถนนลูกรังพบผู้เสียหายทั้งสองยืนอยู่และได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียหายทั้งสองแจ้งว่าขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านมายเวย์ มีคนร้าย 3 คน เข้ามาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจบัตรประจำตัวประชาชน ผู้เสียหายที่ 1 มีบัตรประจำตัวประชาชนส่วนผู้เสียหายที่ 2 ไม่มี คนร้ายทั้งสามจึงบอกว่าให้ไปสถานีตำรวจภูธรตำบลชุมพล และบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองไปขึ้นรถจักรยานยนต์ เมื่อขับรถไปถึงสี่แยก คนร้ายทั้งสามบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองเลี้ยวรถไปตามถนนลูกรัง แล้วจี้เอารถจักรยานยนต์ 1 คัน สร้อยคอทองคำ 1 เส้น กับเงิน 300 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 และเงิน 600 บาท ของผู้เสียหายที่ 2 ไป เหตุที่ผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บเพราะถูกพวกจำเลยใช้อาวุธปืนตีที่แก้ม พยานเดินทางไปที่ร้านมายเวย์ เจ้าของร้านยืนยันว่ารู้จักคนร้าย 1 คน คือคนที่แสดงบัตรว่าเป็นสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรม พยานจึงพาพนักงานของร้านมายเวย์ไปดูประวัติสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมที่สถานีตำรวจภูธรตำบลชุมพล พบภาพถ่ายจำเลยที่ 3 จากนั้นพยานเดินทางไปที่บ้านของจำเลยที่ 3 และซุ่มรออยู่จนถึงเวลา 5.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสามขับรถจักรยานยนต์เข้ามา 2 คัน พยานขอตรวจค้นตัว ผลการตรวจค้น พบสร้อยคอทองคำ 1 เส้น อยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 3 ส่วนรถจักรยานยนต์คันหนึ่งเป็นของผู้เสียหายที่ 1 สอบถามจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามยอมรับว่าได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองจริง พยานจึงจับกุมจำเลยทั้งสามโดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะ จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม โดยจับได้บริเวณหน้าบ้านของจำเลยที่ 3 นั้นเองและพันตำรวจโทสมเพียร เป็นพยานโจทก์เบิกความว่า พยานเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541 เวลา 6 นาฬิกา พยานได้รับตัวจำเลยทั้งสามพร้อมทั้งของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญา และได้คืนของกลาง 2 รายการให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ไป พยานได้สอบคำให้การของผู้เสียหายทั้งสองไว้แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสามว่าร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนและโดยใช้ยานพาหนะทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา จำเลยทั้งสามนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ นอกจากนี้พยานจัดให้ผู้เสียหายทั้งสองชี้ตัวจำเลยทั้งสามโดยให้จำเลยทั้งสามยืนปะปนกับบุคคลอื่นทีละคน ปรากฏว่าผู้เสียหายทั้งสองชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้อง สำหรับบันทึกคำให้การของผู้เสียหายทั้งสองในชั้นสอบสวน มีรายละเอียดของเหตุการณ์ตั้งแต่ผู้เสียหายทั้งสองเริ่มเข้าไปที่ร้านมายเวย์ แล้วมีจำเลยทั้งสามเข้ามาขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชน การบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากร้าน เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็ถูกจำเลยทั้งสามทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ไป จนกระทั่งมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบ เมื่อจับกุมจำเลยทั้งสามได้ก็ชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้อง ส่วนบันทึกคำให้การของผู้ต้องหามีรายละเอียดตั้งแต่จำเลยทั้งสามพบผู้เสียหายทั้งสองก่อนเกิดเหตุและตามไปพบกันอีกที่ร้านมายเวย์ พฤติกรรมของจำเลยทั้งสามในการขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายทั้งสอง การนำตัวผู้เสียหายทั้งสองไปยังสถานที่เกิดเหตุ การปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสอง การเดินทางกลับไปที่บ้านของจำเลยที่ 3 จนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวพร้อมของกลางสร้อยคอทองคำและรถจักรยานยนต์ และการนำเจ้าพนักงานตำรวจไปนำชี้สถานที่เกิดเหตุ ซึ่งข้อเท็จจริงต่าง ๆ เหล่านี้หากไม่เป็นความจริงย่อมเป็นการยากที่พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ ที่จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับและทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพ และลงลายมือชื่อในเอกสารโดยมิได้อ่านข้อความและเจ้าพนักงานตำรวจก็มิได้อ่านข้อความให้ฟังนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้ร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนหรือหน่วยงานอื่นใด เพิ่งหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นพิจารณาของศาลเท่านั้น การลงลายมือชื่อของจำเลยทั้งสามก็ตรงตามตำแหน่งที่จบข้อความแต่ละหน้ากระดาษโดยไม่มีพิรุธ เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยความสมัครใจและตามความเป็นจริง ในส่วนของพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีก่อนและหลังเกิดเหตุก็ได้ความจากนางจรัสศรีว่า นางจรัสศรีจำจำเลยที่ 3 ได้ เพราะจำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมไปขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายทั้งสอง และพาผู้เสียหายทั้งสองออกจากร้านไปจนกระทั่งร้อยตำรวจโทอุทิศติดตามไปจับกุมตัวจำเลยทั้งสามได้ที่หน้าบ้านของจำเลยที่ 3 ในเช้าของวันเกิดเหตุอันเป็นระยะเวลากระชั้นชิดหลังจากเกิดเหตุนั้นเอง พร้อมกับยึดสร้อยคอทองคำได้จากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 3 กับยึดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ได้ขณะในความครอบครองของจำเลยทั้งสาม เช่นนี้ เมื่อนำพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีดังกล่าวมาพิจารณาประกอบกับคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายทั้งสองและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามแล้ว มีความสอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองดังที่โจทก์ฟ้องที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่าไม่ได้กระทำความผิด และที่กล่าวอ้างว่าในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับและทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.