คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6871/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืน แต่ปรากฏว่า โจทก์ฟ้องจำเลยโดยมิได้ฟ้อง คชก. จังหวัดซึ่งมีคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมด้วย ศาลจึงไม่อาจเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การยกฟ้องคดีนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ศาลเห็นสมควรไม่ตัดสิทธิที่จะให้โจทก์ฟ้องใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินโฉนดเลขที่1942 เนื้อที่ 20 ไร่ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ทำนามานานหลายสิบปี เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2531จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้จดทะเบียนโอนขายที่นาแปลงดังกล่าวแก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ในราคา 240,000 บาท โดยไม่ได้แจ้งความจำนงให้โจทก์ผู้เช่าทราบเพื่อให้โจทก์ได้ซื้อที่นาก่อน จึงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่นาแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 4 และที่ 5ผู้รับโอนได้ในราคา 240,000 บาท และโจทก์ได้ร้องเรียนต่อคชก. ตำบล เพื่อขอซื้อที่แปลงดังกล่าว คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยให้โจทก์ซื้อที่นาคืนจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้ในราคา 240,000 บาทจำเลยที่ 4 และที่ 5 (ที่ถูกจำเลยที่ 3) ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัด ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลในระหว่างพิจารณาอุทธรณ์จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันฉ้อฉลทำสัญญาเป็นเท็จย้อนหลังมีใจความว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยังชำระเงินราคาที่นาไม่ครบขาดอีก 150,000 บาท และจะต้องชำระภายในเดือนตุลาคม 2531 หากไม่ชำระจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีสิทธิเลิกสัญญาริบเงินที่ชำระไปแล้วกับเรียกค่าเสียหาย จำเลยที่ 4 และที่ 5 ผิดสัญญา จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ได้ฟ้องจำเลยที่ 4 และที่ 5 ต่อศาลชั้นต้นว่าผิดสัญญาให้ส่งมอบโฉนดและโอนกรรมสิทธิ์ที่นาแปลงดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 (ต่อมาจำเลยทั้งห้าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยอมส่งมอบโฉนดและโอนที่นาตามโฉนดดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3) และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 532/2532 ของศาลชั้นต้น การฟ้องร้องและการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นการฉ้อฉลและเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการขายให้แก่โจทก์ซึ่งมีสิทธิบังคับซื้อจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 ดังนั้น การฟ้องเลิกสัญญาและการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ผูกพันโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 นำคำพิพากษาดังกล่าวไปจดทะเบียนรับโอนที่นาเป็นของตน ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2532 คชก. จังหวัดวินิจฉัยว่าไม่มีการซื้อขายต่อกัน โจทก์ใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวไม่ได้และได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความกับคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 532/2532 ของศาลชั้นต้นไม่ผูกพันโจทก์กับให้เพิกถอนการโอนที่นาโฉนดเลขที่ 1942 ตำบลบ้านแถว อำเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้กลับเป็นของจำเลยที่ 4 และที่ 5และจดทะเบียนโอนขายที่นาโฉนดเลขที่ 1942 ดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 240,000 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (คชก.จังหวัด) ได้มีคำวินิจฉัยแล้วหากโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยโจทก์ต้องฟ้อง คชก.จังหวัด เป็นจำเลยไม่ใช่นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคู่กรณี จำเลยที่ 4 และที่ 5 ผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงฟ้องบังคับจำเลยที่ 4 และที่ 5 และตกลงยอมความกัน โดยมิใช่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ขายที่นาให้แก่โจทก์ คชก.จังหวัดได้มีคำวินิจฉัยว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวไม่มีการซื้อขายกันโจทก์จะอาศัยสิทธิซื้อนาตามมาตรา 54 ไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามที่โจทก์กล่าวอ้างและไม่มีสิทธิซื้อนาคืนจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 เพราะนายังเป็นของผู้ให้เช่านาอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยที่ 5 ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1942แก่โจทก์ในราคา 240,000 บาทได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมพ.ศ. 2522 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง แต่ปรากฏว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นคู่กรณี กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าที่นาพิพาท โดยมิได้ฟ้อง คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งมีคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมด้วย ศาลจึงไม่อาจเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเมื่อวินิจฉัยดังนี้จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ แต่การยกฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

Share