คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บริษัทโจทก์มิได้ให้กรรมการและผู้อื่นกู้ยืมเงินเป็นปกติ แต่ให้กรรมการและผู้อื่นกู้ยืมเงินทุกปีอันเนื่องมาจากการเพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่เพียงคราวเดียวเท่านั้น โจทก์มิได้ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 18,509,885.67 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 13,024,162.83 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2535 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 1,771,287 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2536 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 1,467,812 บาท โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ลดภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและภาษีส่วนท้องถิ่นลงโดยให้เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 รวม 11,999,530.87 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 รวม 8,251,951.10 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2535 รวม 876,315.96 บาท และภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2536 รวม 757,459.32 บาท การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือเดิมโจทก์มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,000,000 บาท ต่อมาได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีกจำนวน 159,000,000 บาท โดยได้ระบุในรายการจดทะเบียนเพิ่มทุนว่าได้เรียกให้ชำระเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นเต็มตามมูลค่าของหุ้นแล้ว ซึ่งความจริงโจทก์มิได้เรียกชำระเงินค่าหุ้นแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีเงินสดและเงินฝากธนาคาร และไม่มีรายรับดอกเบี้ย สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่เจ้าพนักงานประเมินคิดคำนวณโดยถือตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารนั้นไม่ชอบ เพราะกรณีนี้มิได้มีการให้กู้ยืมเงินจริง แต่เจ้าพนักงานประเมินคาดคะเนเอง อัตราดอกเบี้ยจึงไม่สามารถใช้ราคาตลาดได้ นอกจากนี้ โจทก์ได้บันทึกค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาถูกต้องแล้ว การที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินว่า โจทก์บันทึกค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสูงไปจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าการคำนวณของเจ้าพนักงานประเมินไม่ถูกต้องไว้แล้ว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เห็นว่าโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการประเมิน การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานพักตากอากาศและสนามกีฬา (สนามกอล์ฟ) แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงิน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินจะประเมินดอกเบี้ยจากโจทก์เพื่อให้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ได้ โจทก์ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบของเจ้าพนักงานจำเลยตลอดมา และมิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี แต่เหตุเกิดจากการประเมินเงินได้ตามทางบัญชีและข้อกฎหมาย ที่จำเลยเห็นว่าโจทก์ควรที่จะต้องเสียภาษีเพิ่ม การที่โจทก์ต้องเสียภาษีเพิ่มและเบี้ยปรับเงินเพิ่มจึงไม่เป็นธรรม เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการหรือ 5 ปี นับแต่โจทก์ได้ยื่นรายการแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจไต่สวนและประเมินภาษีโจทก์ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า การออกหมายเรียกตรวจสอบชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ 2007171/6/100079 และ 100080 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.2/อธ.1/3.3/24/2546 และ สภ.2/อธ.1/3.4/24/2546 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2546 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการสถานพักตากอากาศและสนามกีฬา (สนามกอล์ฟ) ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงิน เดิมโจทก์มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ต่อมาได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 159,000,000 บาท โดยระบุในรายการจดทะเบียนเพิ่มทุนว่าได้เรียกให้ชำระเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นเต็มตามมูลค่าของหุ้นแล้ว ซึ่งความจริงยังมิได้มีการชำระเงินค่าหุ้นเพิ่ม ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 18,509,885.67 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 13,024,162.83 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2535 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 1,771,287 บาท และภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2536 ให้ชำระภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่น รวม 1,467,812 บาท ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 179 ถึง 182 โจทก์อุทธรณ์ตามคำอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 175 ถึง 178 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ลดภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่น โดยให้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 11,999,530.87 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 พร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม 8,251,951.10 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2535 พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 876,315.96 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2536 พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 757,459.32 บาท ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 37 ถึง 44 มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2535 และเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2536 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2533 ต่อมาวันที่ 5 ตุลาคม 2533 ได้เพิ่มทุนอีก 159,000,000 บาท โดยออกหุ้นใหม่ โจทก์ระบุว่าได้เรียกชำระเงินค่าหุ้นครบถ้วนแล้วตั้งแต่ปี 2533 แต่ในงบการเงินปี 2535 และ 2536 โจทก์ได้ให้กู้ยืมเงินในจำนวนดังกล่าวทุกปี ถือว่าเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ที่ทำเป็นปกติ เจ้าพนักงานมีอำนาจประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะโดยกำหนดดอกเบี้ยรับแก่โจทก์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (5) และมาตรา 91/16 (6) นั้น เห็นว่า จำเลยมีนางสาวจิตรา ไสลรวม กับนางสาวจุลีรัตน์ บุญรวม เป็นพยาน นางสาวจิตราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 5 สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 7 ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบภาษีคดีนี้ต่อจากนางมารยาท เพียรพิทักษ์ เจ้าพนักงานประเมินคนเดิม เบิกความในส่วนของภาษีธุรกิจเฉพาะว่ากรณีดอกเบี้ยมีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลเนื่องจากเงินสดและเงินฝากธนาคารตามงบการเงินเฉพาะส่วนที่เกิน 1,200,000 บาท นั้น ถือเป็นเงินที่กรรมการนำไปใช้ส่วนตัว จึงฟังว่าโจทก์ให้กรรมการหรือผู้อื่นกู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เมื่อโจทก์มิได้นำดอกเบี้ยไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะเจ้าพนักงานประเมินจึงอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/15 และมาตรา 91/16 (6) กำหนดดอกเบี้ยเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งเป็นดอกเบี้ยรับจำนวนเดียวกับกรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนนางสาวจุลีรัตน์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 6 สำนักงานสรรพากรภาค 2 และเป็นผู้ตรวจคำอุทธรณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะคดีนี้ก็เบิกความในส่วนของภาษีธุรกิจเฉพาะแต่เพียงว่าโจทก์มีรายรับจากดอกเบี้ยเนื่องจากการให้กรรมการและผู้อื่นกู้ยืม เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามคำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวไม่ได้ยืนยันว่า โจทก์ให้กรรมการและผู้อื่นกู้ยืมเงินเป็นปกติแต่อย่างใด การที่งบการเงินปี 2535 และ 2536 ของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ได้ให้กรรมการและบุคคลอื่นกู้ยืมเงินทุกปี แต่ก็เป็นการให้กู้ยืมเงินอันเนื่องมาจากการเพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2533 เพียงคราวเดียวเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (5) การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share