คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6869/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ หากแต่ฟ้องร้องในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งข้อหานี้โจทก์ทั้งเก้ามิได้มีส่วนร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ด้วย โจทก์ทั้งเก้าจึงเป็นผู้เสียหายคดีนี้
การหลอกลวงหรือฉ้อโกงโจทก์ทั้งเก้าและประชาชน โดยสภาพแห่งการกระทำต้องกระทำต่อบุคคลหลายคนในลักษณะที่เป็นประชาชนและอาจต่างวาระกันได้ และเห็นได้ชัดว่าเกิดจากเจตนาอันเดียวกันคือฉ้อโกงประชาชน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยมีเจตนาร่วมกันทุจริตแพร่ข่าวและชักชวนด้วยวาจาต่อโจทก์ทั้งเก้าและประชาชนทั่วไปว่าต้องการกู้เงินจากประชาชน โดยจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนถึงร้อยละ 10ต่อเดือน จนโจทก์ทั้งเก้าและประชาชนทั่วไปหลงเชื่อให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 กู้ไปนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเก้าฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าหลอกลวงประชาชนและโจทก์ทั้งเก้าด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ด้วยการแพร่ข่าวและชักชวนด้วยวาจาต่อประชาชนทั่วไปว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันประกอบกิจการโรงงานจัดส่งปอกระสาไปจำหน่ายต่างประเทศ กิจการลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินและธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นผลกำไรแน่นอนและสูงมาก จำเลยทั้งห้าต้องการให้กู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไปเพื่อนำไปลงทุนขยายกิจการดังกล่าวโดยไม่จำกัดบุคคลและวงเงิน จะให้ผลประโยชน์ร้อยละ 10 ต่อเดือน ร้อยละ 3 ต่อ 5 วัน ร้อยละ 4 ต่อ 10 วันหรือร้อยละ 5 ต่อ 15 วัน ทำให้ประชาชนและโจทก์ทั้งเก้า หลงเชื่อ โจทก์ที่ 1 จึงให้จำเลยทั้งห้ากู้เงิน 2,640,000 บาท โจทก์ที่ 2 ให้กู้ 4,000,000 บาท โจทก์ที่ 3 ให้กู้ 4,500,000บาท โจทก์ที่ 4 ให้กู้ 500,000 บาท โจทก์ที่ 5 ให้กู้ 3,000,000 บาท โจทก์ที่ 6 ให้กู้4,500,000 บาท โจทก์ที่ 7 ให้กู้ 600,000 บาท โจทก์ที่ 8 ให้กู้ 2,255,000 บาท โจทก์ที่ 9 ให้กู้ 22,350,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 44,345,000 บาท อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ความจริงแล้วจำเลยทั้งห้าไม่มีและไม่ได้ประกอบกิจการดังที่อ้าง แต่นำเงินที่ได้รับจากผู้ให้กู้มาสะสมไว้และนำมาหมุนเวียนจ่ายเป็นผลประโยชน์ให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินรายนั้นเองหรือรายอื่น โดยจำเลยทั้งห้ามีเจตนาที่จะไม่คืนเงินต้นแก่ประชาชนและโจทก์ทั้งเก้าตั้งแต่แรก ต่อมาจำเลยทั้งห้าได้งดจ่ายผลประโยชน์และเงินต้นคืนแก่ประชาชนและโจทก์ทั้งเก้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343,83, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1และที่ 2 ชั่วคราว

จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 5 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 5

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 จำคุกคนละ 2 ปี คำขออื่นให้ยก

โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก จำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งเก้ามีตัวโจทก์ทั้งเก้ามาเบิกความสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้มาพบอ้างว่าได้ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานจัดส่งปอกระสาไปจำหน่ายต่างประเทศร่วมกันลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินและธุรกิจให้กู้ยืมเงินซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ร้อยละ 5 ต่อ 15 วัน ร้อยละ 4 ต่อ 7 วัน ร้อยละ 3 วัน ต่อ 5 วัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ต้องการกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งเก้าและประชาชนทั่วไปเพื่อนำไปลงทุนขยายกิจการดังกล่าวโจทก์ทั้งเก้าหลงเชื่อจึงให้กู้ยืมเงินหลายครั้ง และได้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตรงกำหนดนัด โจทก์ทั้งเก้าแต่ละคนจึงได้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กู้ยืมเงินอีกหลายครั้งรวมเป็นเงิน 44,345,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อ้างว่าแบ่งงานกันทำเป็นสาย ซึ่งสายของโจทก์ทั้งเก้าได้ให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ยืม แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็มาด้วยในบางครั้งและยืนยันว่าทำกิจการร่วมกัน โดยเคยนำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินราคา38,000,000 บาทเศษ ตามเอกสารหมาย จ.4 สมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 และที่ 4ตามเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.19 มาให้ดูเพื่อแสดงว่ามีธุรกิจซื้อขายที่ดินและมีเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก จนเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2533 จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลบหนีและเช็คที่ออกให้เพื่อชำระหนี้เงินยืมก็ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 10 กันยายน2533 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้มาที่บ้านของจำเลยที่ 5 ประชุมร่วมกับโจทก์ทั้งเก้าและเจ้าหนี้ที่ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กู้ยืมเงินอีกประมาณ 60 ถึง 70 คน จำเลยที่ 5 บอกว่าจะขายที่ดิน10,000,000 บาท มาชำระหนี้ให้แต่ก็ไม่ชำระ นอกจากนี้โจทก์ทั้งเก้ายังมีนางพัชรินทร์ศุภวัชรินทร์ มาเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันทำธุรกิจที่ดินและทำปอกระสาส่งไปต่างประเทศและยังมีนายเดชา สุขนาวา นางพรนภา บำรุงราชหิรัณย์นางนงลักษณ์ กาญจนสินหรือเครือทองศรี มาเบิกความสนับสนุนว่า พยานก็ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 หลอกลวงกู้ยืมเงินเช่นเดียวกับโจทก์ทั้งเก้าและได้ร่วมประชุมในฐานะเจ้าหนี้ที่บ้านของจำเลยที่ 5 ในวันที่ 10 กันยายน 2533 ด้วย ยิ่งไปกว่านี้ โจทก์ทั้งเก้ายังมีพยานแวดล้อมแสดงว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งเก้า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นหุ้นส่วนร่วมกันจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน จำกัด บุญหนักบริการ โดยจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเอกสารหมาย จ.3 และจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ทั้งเก้ายอมรับว่าได้เข้าร่วมประชุมที่บ้านของจำเลยที่ 5 ในวันที่ 10กันยายน 2533 ทั้งการที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีเงินฝากเข้าและถอนออกจากหลายธนาคารเป็นจำนวนหลายครั้งมากมายและเป็นจำนวนเงินที่สูงอย่างเช่นบัญชีเงินฝากธนาคารทหารไทย จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.49 โดยจำเลยที่ 3 เป็นครูและจำเลยที่ 4 เป็นทนายความ แต่ไม่สามารถนำสืบถึงแหล่งที่มาแห่งรายได้รายจ่ายได้ การเคลื่อนไหวทางบัญชีเงินฝากดังกล่าวส่อแสดงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 น่าจะมีส่วนร่วมกันกู้ยืมเงินตามที่โจทก์ทั้งเก้าฟ้อง อันเป็นการเจือสมพยานหลักฐานโจทก์ทั้งเก้าด้วย พยานหลักฐานโจทก์ทั้งเก้าจึงหนักแน่นมั่นคงรับฟังได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาสรุปได้ว่า โจทก์ทั้งเก้าร่วมกับจำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินก็ดี จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 5 กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งเก้าก็ดี เห็นว่า เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุผลปราศจากน้ำหนักไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ทั้งเก้าได้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยทุจริต ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ทั้งเก้าและประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ทั้งเก้า เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาอีกว่า โจทก์ทั้งเก้ามิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยเพราะร่วมรับดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องร้องในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา หากแต่ฟ้องร้องในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งข้อหานี้โจทก์ทั้งเก้ามิได้มีส่วนร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3และที่ 4 ด้วย โจทก์ทั้งเก้าจึงเป็นผู้เสียหายคดีนี้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าแต่อย่างใดเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง

มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าว่าการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม โจทก์ทั้งเก้าฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่หลอกลวงโจทก์ทั้งเก้าแยกได้เป็นเก้ากรรมนั้น เห็นว่า การหลอกลวงหรือฉ้อโกงโจทก์ทั้งเก้าและประชาชน โดยสภาพแห่งการกระทำต้องกระทำต่อบุคคลหลายคนในลักษณะที่เป็นประชาชนและอาจต่างวาระกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเกิดจากเจตนาอันเดียวกันคือ ฉ้อโกงประชาชน จึงถือได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าและของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share