แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษหรือลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำเลย เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยเพียงใดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก บทบัญญัติในมาตรา 13 และ 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ยังมิได้ถูกยกเลิกเด็ดขาดไปเสียทีเดียว เพราะความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 และมาตรา 13 แห่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกไปใช้บังคับเพิ่มเติมและบังคับแทนบทบัญญัติในมาตรา 13 และ 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ทั้งตามกฎหมายฉบับหลังที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้มีเป็นการแก้ไขโทษปรับขึ้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจาก 500,000 บาท เหลือ400,000 บาท อันเป็นคุณแก่จำเลยซึ่งจะต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้มาปรับแก่คดีตามนัย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 อยู่แล้วดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวอ้างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 13, 62, 89, 106,116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลาง เว้นแต่ธนบัตรที่ล่อซื้อคืนเจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่ามีแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียง 4 เม็ด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ลงโทษจำคุก 5 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุสมควรบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนริบของกลางเว้นแต่ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี 4 เดือนที่จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษหรือลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยเพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4, 13, 62, 89, 106, 116 ภายหลังที่พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2535ใช้บังคับ และยกเลิกฉบับ พ.ศ. 2518 ไปแล้วโดยโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างฉบับ พ.ศ. 2535 ถือได้ว่าโจทก์อ้างกฎหมายที่ยกเลิกไปแล้ว ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายฉบับหลังศาลจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องหาได้ไม่เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 นั้นเห็นว่า บทบัญญัติในมาตรา 13 และ 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ยังมิได้ถูกยกเลิกเด็ดขาดไปเสียทีเดียว เพราะพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 9 บัญญัติว่า “ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 13 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 ฯลฯ” อันเป็นบทบัญญัติเพิ่มเติมแยกจากเดิมที่บัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 เดิม ส่วนมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ก็บัญญัติว่า”ให้ยกเลิกความในมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ฯลฯ” ซึ่งเห็นได้ว่า ความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 และ 13แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ให้ยกไปใช้บังคับเพิ่มเติมและบังคับแทนบทบัญญัติในมาตรา 13 และ 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 ทั้งตามกฎหมายฉบับหลังที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้ก็เป็นการแก้ไขโทษปรับขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจาก 500,000 บาทเหลือ 400,000 บาท อันเป็นคุณแก่จำเลย ซึ่งจะต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้มาปรับแก่คดีตามนัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 อยู่แล้ว ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวอ้างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้ ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังจำเลยฎีกาแต่อย่างใด
พิพากษายืน