แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารโจทก์ในวงเงิน 150,000 บาท โดยจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จะชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนใดค้างชำระยอมให้โจทก์ทบต้นเข้ากับจำนวนเงินกู้ที่ค้างชำระแล้วคิดดอกเบี้ยในเดือนต่อไปได้ตามสัญญา เมื่อพ้นกำหนดชำระเงินต้นในวันที่ 5 มีนาคม 2520 จำเลยไม่ยอมชำระต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2521 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบังคับจำนองรวมเป็นเงิน 210,189.07 บาท และเมื่อคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามสัญญาโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวให้ชำระหนี้ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 232,189.69 บาท จึงขอให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวจำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ค้างชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินตามฟ้องต่อโจทก์ ดังนี้แสดงว่าจำเลยเข้าใจในข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
หลังจากสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับธนาคารโจทก์ได้สิ้นสุดลง จำเลยไม่ได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากธนาคารโจทก์ สิทธิของธนาคารโจทก์ในอันที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำนวนเงินที่ค้างชำระตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคารจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ธนาคารโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2518 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ในวงเงิน 150,000 บาทกำหนดใช้คืนภายในวันที่ 5 มีนาคม 2519 จำเลยยอมให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จะชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นสุดของเดือน เดือนใดค้างชำระยอมให้โจทก์ทบต้นเข้ากับจำนวนเงินกู้ที่ค้างชำระแล้วคิดดอกเบี้ยตามสัญญา รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีท้ายฟ้อง เพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าว จำเลยได้จำนองที่ดินไว้กับธนาคารโจทก์โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินจำนวนที่ขาดให้แก่ธนาคารโจทก์จนครบถ้วน เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีถึงกำหนดชำระจำเลยได้ขอต่ออายุสัญญากับธนาคารโจทก์อีก 12 เดือนครบกำหนดชำระคืนวันที่ 5 มีนาคม 2520เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ธนาคารโจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบังคับจำนองกับจำเลยจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2521 อันเป็นวันที่จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์อยู่ 210,696.07 บาท ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ 7,000 บาท วันที่ 20 พฤศจิกายน 2522จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ 232,189.69 บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 232,189.07 บาท ให้แก่ธนาคารโจทก์ กับให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 210,696.07 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่ธนาคารโจทก์เสร็จ หากจำเลยไม่ยอมชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนขอให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดถ้ายังได้เงินไม่พอชำระหนี้ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารโจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า ในวันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำเลยรับเงินไปเพียง 15,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยเบิกเงินไปจากโจทก์รวมแล้วประมาณ 113,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ต่ออายุสัญญาไปถึงวันที่ 5 มีนาคม 2520 เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่เคยเบิกเงินอีก จึงถือว่าสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้คงคิดดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยชำระหนี้ไปแล้วประมาณ 101,300 บาท จึงเหลือหนี้อยู่ไม่เกิน 50,000 บาท โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 232,189.69บาท ให้แก่ธนาคารโจทก์ กับชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 210,696.07 บาท ให้แก่ธนาคารโจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ธนาคารโจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้แก่ธนาคารโจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยที่อ้างว่าจำเลยค้างชำระเป็นจำนวนเท่าใด ค้างตั้งแต่เมื่อใด และโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นแต่เวลาใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารโจทก์ในวงเงินไม่เกิน150,000 บาท โดยจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจำเลยจะชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนใดจำเลยค้างชำระยอมให้โจทก์ทบต้นเข้ากับจำนวนเงินกู้ที่ค้างชำระแล้วคิดดอกเบี้ยในเดือนต่อไปได้ตามสัญญาเมื่อพ้นกำหนดเวลาชำระเงินต้นตามสัญญาจำเลยไม่ยอมชำระต้นเงินตามสัญญาจำเลยไม่ยอมชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2521 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบังคับจำนองรวมเป็นเงิน 210,189.07 บาท และเมื่อคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวให้ชำระหนี้ถึงวันก่อนฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 232,189.69 บาท จึงขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้ให้การปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้ค้างชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินตามฟ้องต่อโจทก์ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง
ปัญหาว่าหลังจากหมดอายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วธนาคารโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่ เห็นว่าเมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับธนาคารโจทก์ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันที่ 5 มีนาคม 2520 และไม่ได้มีการต่อสัญญาให้แก่จำเลยต่อไปอีก ทั้งจำเลยก็ไม่ได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากธนาคารโจทก์ สิทธิของธนาคารตามสัญญาที่จำเลยยอมให้ธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำนวนเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือนตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคารจึงถือว่าเป็นอันสิ้นสุดลงด้วย โจทก์จึงหาสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไปไม่ เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1291/2512
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยค้างชำระหนี้เงินกู้รวมทั้งดอกเบี้ยทบต้นในระหว่างปี พ.ศ. 2518 ถึงปี พ.ศ. 2520 ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาตามที่ธนาคารสาขาโจทก์ได้แสดงไว้ในบัญชีกระแสรายวันถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นเงิน 162,732.69 บาทและให้คิดดอกเบี้ยทบต้นจากต้นเงินดังกล่าวได้อีกจนถึงวันที่ 5มีนาคม 2520 อันเป็นวันสิ้นสุดสัญญาและต่อไปจากวันที่ 6มีนาคม 2520 ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินที่ค้างชำระอยู่ในวันที่ 5 มีนาคม 2520 ให้แก่ธนาคารโจทก์ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 162,732.69บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดจากหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2520 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2520 ให้แก่โจทก์และต่อไปจากวันที่ 6 มีนาคม 2520 ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากจำนวนเงินที่จำเลยค้างชำระรวมทั้งดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวให้แก่โจทก์จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์