คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6851/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างให้พัฒนาที่ดิน จะมิได้กำหนดเวลาสำหรับการเริ่มต้นและการเสร็จสิ้นการพัฒนาที่ดินไว้ก็ตาม แต่สัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวได้กำหนดเวลาชำระค่างวดไว้เป็น 12 งวด งวดละ 30 วัน และโจทก์ได้ชำระค่างวดดังกล่าวเสร็จสิ้นครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ดังนั้น จำเลยก็ควรจะต้องพัฒนาที่ดินให้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสมควร ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานเกือบ 10 ปี นับแต่วันทำสัญญา โดยจำเลยยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างสระว่ายน้ำ สโมสร และสนามเทนนิสเลย จำเลยคงเพียงแต่กันพื้นที่ไว้เท่านั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้โจทก์จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยก่อสร้าง จำเลยก็คงไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จในเวลาที่โจทก์กำหนดได้อย่างแน่นอน และจำเลยก็ยืนยันมาตลอดแล้วว่าไม่จำต้องสร้างสระว่ายน้ำ สโมสร และสนามเทนนิสให้เสร็จก่อน ดังนั้น การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาจึงไม่จำต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาอีกต่อไป ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาชอบแล้ว
เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับไว้จากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับชำระเงินค่างวดสุดท้ายไปจากโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ได้ชำระแก่จำเลยไปแล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉย โจทก์คิดดอกเบี้ยกับจำเลยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,164,800 บาท นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินงวดสุดท้ายคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 3 ปี 5 เดือน 20 วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 303,333 บาท รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย 1,468,133 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,468,133 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,164,800 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,162,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 303,333 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 1,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคู่ความมิได้ฏีกาโต้แย้งว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างให้พัฒนาที่ดินกับจำเลย และโจทก์ได้ชำระเงินรวมทั้งสองสัญญาให้แก่จำเลยไปแล้วจำนวน 1,162,800 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์ยังไม่ได้ชำระ และจำเลยได้พัฒนาที่ดินโดยถมที่ ทำถนน ทางเท้า ประปา ไฟฟ้า ท่อระบายน้ำ และบ่อบำบัดน้ำเสียแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส และสโมสร
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างให้พัฒนาที่ดินจะมิได้กำหนดเวลาสำหรับการเริ่มต้นและการเสร็จสิ้นการพัฒนาที่ดินไว้ก็ตาม แต่สัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวได้กำหนดเวลาชำระค่างวดไว้เป็น 12 งวด งวดละ 30 วัน และโจทก์ได้ชำระค่างวดดังกล่าวเสร็จสิ้นครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ดังนั้น จำเลยก็ควรจะต้องพัฒนาที่ดินให้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสมควร ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานเกือบ 10 ปี นับแต่วันทำสัญญาโดยจำเลยยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างสระว่ายน้ำ สโมสร และสนามเทนนิสเลย จำเลยคงเพียงแต่กันพื้นที่ไว้เท่านั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้โจทก์จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยก่อสร้าง จำเลยก็คงไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จในเวลาที่โจทก์กำหนดได้อย่างแน่นอน และจำเลยก็ยืนยันมาตลอดแล้วว่าไม่จำต้องสร้างสระว่ายน้ำ สโมสร และสนามเทนนิสให้เสร็จก่อน ดังนั้น การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาตามหนังสือจึงไม่จำต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาอีกต่อไป ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาชอบแล้ว และโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญาต่อจำเลยในการที่ไม่ไปรับโอนที่ดินจากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยชอบแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใด เห็นว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 บัญญัติว่า “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้นท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้” ดังนั้นเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับไว้จากโจทก์จำนวน 1,162,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไป อันเป็นวันเวลาที่จำเลยได้รับชำระเงินค่างวดสุดท้ายไปจากโจทก์จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 303,333 บาท ตามที่โจทก์ขอ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์.

Share