แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยไล่กอดปล้ำกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่ยังไม่สำเร็จความใคร่ แล้วจำเลยบังคับให้ผู้เสียหายใช้ปากกับอวัยวะเพศของจำเลยจนจำเลยสำเร็จความใคร่ การกระทำของจำเลยทุกขั้นตอนดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในคราวเดียวกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำอนาจารจึงเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในการกระทำชำเรา ไม่อาจแยกออกเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนา การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานกระทำชำเราซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277, 279, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก, 279 วรรคสอง และ 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 7 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 4 ปี ฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 7 ปี รวมจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานกระทำชำเรากับความผิดฐานกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 7 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ (ที่ถูกพรากเด็ก) ไปเพื่อการอนาจารแล้วเป็นจำคุก 14 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเฉพาะในความผิดข้อหาฐานกระทำชำเราและข้อหาฐานกระทำอนาจารเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้เมื่อไล่กอดปล้ำพร้อมทั้งขู่ว่าจะใช้มีดทำร้ายกระทั่งผู้เสียหายจนมุมถูกจำเลยกดตัวแนบพื้นดิน ถอดกางเกงนอกและกางเกงในออกจากตัวผู้เสียหาย จับถ่างขาออกจากกัน สอดอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ชักออกดันเข้าอยู่พักหนึ่ง อันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จตามเจตนาแล้ว แต่พื้นฐานของเจตนากระทำชำเรานั้นย่อมเกิดจากแรงบันดาลใจที่ผู้กระทำประสงค์จะระบายอารมณ์ทางเพศต่อเนื้อตัวร่างกายของหญิงผู้ถูกกระทำชำเราด้วย ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ที่จำเลยไล่กอดปล้ำผู้เสียหายก่อน แล้วจึงจับตัวกดแนบพื้น ถอดกางเกงนอกและกางเกงในจับถ่างขาออกจากกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กระทำอนาจารต่อเนื้อตัวร่างกายของผู้เสียหายไม่แตกต่างจากการที่จำเลยบังคับให้ผู้เสียหายอมและดูดอวัยวะเพศของจำเลยในเวลาต่อมาจนกระทั่งสำเร็จความใคร่อันเป็นขั้นตอนท้ายสุด การกระทำของจำเลยทุกขั้นตอนดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำอนาจารจึงเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในการกระทำชำเราโดยธรรมชาติ ไม่อาจแยกออกเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนาดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.