คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6842/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้รับสิทธิและประโยชน์โดยไม่ต้องชำระอากรขาเข้าและภาษีการค้าในขณะนำเข้าตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฯ แต่จำเลยไม่ได้นำวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้าดังกล่าวไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออก เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้จึงไม่อาจนำไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกตามเงื่อนไขที่กำหนดในบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรณีก็ต้องถือว่าจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดและมีหน้าที่ต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้า

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีอากรพร้อมเงินเพิ่มรวม 1,757,845.65 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงขอให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามบัตรส่งเสริมการลงทุน (ที่ถูกบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)อันจะทำให้ไม่ได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกหรือไม่ ประเด็นอื่นนอกจากนี้หากมีคู่ความขอสละและจำเลยแถลงรับว่าได้รับแจ้งการประเมินตามฟ้องกับแถลงว่าหากตามกฎหมายจำเลยจะต้องรับผิด ก็ยอมรับผิดตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามประเด็นข้อพิพาทซึ่งคู่ความท้ากันเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอันจะทำให้ไม่ได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้สิทธิและประโยชน์แก่จำเลยโดยให้จำเลยได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้าดังกล่าว แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าจำเลยต้องนำวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้าดังกล่าวนั้นไปใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 4ข้อ 8 ซึ่งเงื่อนไขที่กำหนดดังกล่าวไม่ปรากฏมีข้อยกเว้นให้จำเลยไม่ต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้าในกรณีอื่นนอกเหนือจากข้อที่ให้นำวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศไปทำการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกไว้เลย จึงต้องถือว่าจำเลยจะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้าดังกล่าวเพียงกรณีเดียวเป็นเด็ดขาดกล่าวคือ จำเลยต้องนำไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเท่านั้น เห็นได้จากพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 มาตรา 54 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้ให้แก่ผู้ได้รับการส่งเสริมทั้งหมด หรือบางส่วนโดยจะกำหนดระยะเวลาไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้

ถ้าคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า การที่ผู้ได้รับการส่งเสริมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นมิได้เป็นการกระทำโดยจงใจ จะสั่งให้สำนักงานเตือนเป็นหนังสือให้ผู้ได้รับการส่งเสริมแก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขภายในเวลาที่กำหนดก่อนก็ได้ แต่เมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นแล้วผู้ได้รับการส่งเสริมยังมิได้แก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คณะกรรมการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง”

เมื่อพิจารณาความในบทมาตรานี้วรรคสองใช้ถ้อยคำว่า คณะกรรมการจะสั่งให้สำนักงานเตือนผู้ได้รับการส่งเสริมก่อนก็ได้ในกรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมมิได้จงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข จึงแสดงว่านอกจากในกรณีผู้ได้รับการส่งเสริมได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยจงใจซึ่งคณะกรรมการต้องเพิกถอนสิทธิและประโยชน์แล้ว แม้เป็นกรณีผู้ได้รับการส่งเสริมมิได้จงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎหมายก็ยังให้อำนาจคณะกรรมการสามารถสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยนำเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้าตามฟ้อง2 ครั้ง เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2531 และวันที่ 12 เมษายน 2532 ซึ่งหากจำเลยไม่ใช่ผู้ได้รับการส่งเสริมโดยได้รับสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้าตามฟ้องตั้งแต่ขณะนำเข้าเพราะวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ตามปกติแล้วผู้นำเข้าจะต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้าซึ่งเมื่อจำเลยเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้าในขณะนำเข้าในกรณีเช่นนี้ไปแล้วแม้ต่อมาสินค้าดังกล่าวจะสูญหาย ถูกทำลายหรือเกิดเหตุเพลิงไหม้เสียหาย จำเลยก็หาอาจร้องขอคืนอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับสินค้าที่เสียหายไปได้ไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับสิทธิและประโยชน์โดยไม่ต้องชำระอากรขาเข้าและภาษีการค้าในขณะนำเข้า แต่จำเลยไม่ได้นำวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้าดังกล่าวไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออก เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้จึงไม่อาจนำไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกตามเงื่อนไขที่กำหนดในบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรณีก็ต้องถือว่าจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีการค้าแก่โจทก์ทั้งสองตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,757,845.65 บาทแก่โจทก์ทั้งสองให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์

Share