แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยแอบเข้ามากอดหญิงผู้เสียหายและพูดขอกระทำชำเราผู้เสียหายร้องขึ้นจำเลยเอามือปิดปากผู้เสียหาย กดผู้เสียหายนอนลงที่พื้นเรือนแล้วขึ้นคร่อมเอาหัวเข่ากดต้นขาไว้ ขณะนั้นผู้เสียหายนอนหงายนุ่งกระโจมอกอยู่ จำเลยก้มลงกัดที่แก้มและถลกผ้าซิ่นขึ้นจากด้านล่าง ผู้เสียหายดิ้นอย่างแรงจนหลุดแล้ววิ่งร้องไห้ลงเรือนไปดังนี้ลักษณะการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา คงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปในบ้านเรือนของนางจันทร์ดี ขาวคมแล้วจำเลยบังอาจกระทำอนาจารแก่นางจันทร์ดีโดยยัดธนบัตร ๑๐ บาท ให้แก่นางจันทร์ดีขอร่วมประเวณีด้วย แล้วจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำกดตัวนางจันทร์ดีให้นอนหงายใช้มืออุดปาก แล้วจำเลยขึ้นคร่อมนอนทับตัวนางจันทร์ดีและถลกผ้าถุงขึ้นเพื่อให้อวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์ของนางจันทร์ดี อันเป็นการลงมือข่มขืนกระทำชำเราแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากนางจันทร์ดีดิ้นจนหลุดจากการกอดปล้ำและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงได้หลบหนีไป เจ้าพนักงานยึดได้ธนบัตรฉบับละ ๑๐ บาทจากนางจันทร์ดีเป็นของกลางขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๘๐, ๓๖๔, ๓๖๕ประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗,๙ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง แต่การที่จำเลยเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรนั้นเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔ เพราะการเข้ากอดปล้ำผู้เสียหายมิใช่การใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อที่จะเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหาย พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔ ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา ๒๗๖ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ และฐานกระทำอนาจารตามมาตรา ๒๗๘ ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๒ ฐานบุกรุกจำคุก ๖ เดือน ความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจารเป็นความผิดหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักตามมาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี รวมโทษจำคุกจำเลย ๒ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่ารูปคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คงฟังว่าเป็นการกระทำอนาจารพิพากษาแก้ เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๔, ๓๖๕ (๓) และความผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา ๒๗๘เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕ (๓)ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักตามมาตรา ๙๐ จำคุกจำเลย ๑ ปี ๖ เดือน คืนธนบัตรของกลางให้จำเลย
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกบทหนึ่งด้วย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างทั้งสอง ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระชำเราผู้เสียหายหรือไม่ นั้น เห็นว่าการที่จำเลยแอบมากอดผู้เสียหายแล้วยัดธนบัตร ๑๐ บาทใส่มือผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า “เอาเงินไป ๑๐ บาท ขอนอนด้วยซักทีหนึ่ง”ผู้เสียหายร้องขึ้น จำเลยเอามือปิดปากใช้มือกดผู้เสียหายนอนลงที่พื้นเรือนแล้วขึ้นคร่อมเอาหัวเข่ากดต้นขาไว้ ขณะนั้นผู้เสียหายนอนหงายนุ่งกระโจมอกอยู่จำเลยก้มลงกัดที่แก้มและถลกผ้าซิ่นขึ้นจากด้านล่าง ผู้เสียหายดิ้นอย่างแรงจนหลุด แล้ววิ่งร้องไห้ลงเรือนไป ดังนี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา คงเป็นความผิดเพียงฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕ (๓), ๒๗๘ และให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕ (๓) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักตามมาตรา ๙๐ นั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจปรับบทและลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๖๕ (๓) ซึ่งมีโทษหนักกว่ามาตรา ๓๖๔ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่ศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้นชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๔ และ ๒๗๘ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๙การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมาย ๒ บท ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๗๘ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๙นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์