แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีอาญาที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ก็ดี แต่ถ้าหากปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานที่สืบไว้ก่อนจำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยมิได้กระทำผิดแล้ว ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,278, 285, 91 โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งเป็นครูสอนหนังสือประจำโรงเรียนพิสนธ์สุขการบังอาจใช้อำนาจด้วยกำลังกายกระทำอนาจารและขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงกอบกุล กรานต์วงศ์ อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ป.5 ของโรงเรียนนั้น และเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยโดยจำเลยกอดจูบลูบคลำตามร่างกายแล้วถอดเสื้อผ้าของเด็กหญิงกอบกุล ใช้ผ้าอุดปากกับจับมือไว้ แล้วขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่โดยเด็กหญิงกอบกุลอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลบางพลัด อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้ทำผิด และว่าผู้เสียหายมิใช่เป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้สอนพิเศษเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ไม่มีอำนาจควบคุมดูแลหรือลงโทษนักเรียนที่สอนได้เลย
ครั้นผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ปากแรกเบิกความตอบคำถามฝ่ายโจทก์แล้ว เลื่อนคดีไปให้ฝ่ายจำเลยซักค้านวันหลัง ถึงวันนัดฝ่ายจำเลยไม่ซักค้าน และกลับเปลี่ยนคำให้การใหม่รับเข้ามาว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงในเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา แต่ผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์และยอมความกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนข้อที่ว่าผู้เสียหายเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยนั้น จำเลยคงปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในความดูแลของจำเลย ทั้งวันเกิดเหตุก็เป็นวันหยุดเรียน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
เมื่อจำเลยกลับให้การใหม่เช่นนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลสอบถามปากคำนางสาวสุนาลินี นิโครธานนท์ ผู้จัดการโรงเรียนพิสนธ์สุขการและร้อยตำรวจตรีเงินกรานต์วงศ์บิดาผู้เสียหาย พยานโจทก์เพียง 2 คนเท่านั้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ ใครเป็นครูใหญ่ และได้มีการยอมความและถอนคำร้องทุกข์แล้วจริงหรือไม่ เมื่อพยานโจทก์ 2 คนให้ถ้อยคำแล้ว โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยอันจะปรับบทเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ได้หรือไม่ วินิจฉัยแล้วเห็นว่าจำเลยไม่ได้เป็นครูใหญ่หรือครูประจำชั้น หรือเป็นผู้รักษาการแทนครูใหญ่แต่อย่างใดวันเกิดเหตุเป็นวันหยุดเรียน และเหตุเกิดที่บ้านจำเลย จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยกระทำต่อศิษย์ในระหว่างที่อยู่ในขอบเขตอำนาจและความรับผิดชอบของจำเลยที่จะปรปักษ์รักษาดูแลศิษย์นั้นได้โดยชอบด้วยอำนาจหน้าที่ของครูผู้สอนศิษย์ จะปรับบทเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ไม่ได้ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1637/2500 สนับสนุน ส่วนความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 และฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 นั้น จำเลยรับสารภาพแล้วก็จริง แต่เป็นความผิดอันยอมความได้ ผู้เสียหายได้ยอมความและถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตั้งแต่ก่อนฟ้องแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา
โจทก์อุทธรณ์ว่า ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 285 ซึ่งมิใช่เป็นความผิดอันยอมความกันได้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ตอบคำถามโจทก์จบลงแล้วนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขู่เข็ญหรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย และไม่แสดงว่าผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนการกระทำของจำเลยได้แต่อย่างใด กลับแสดงว่าผู้เสียหายสมัครใจเอออวยไปด้วยกับจำเลยตลอดเวลา จำเลยจึงไม่มีความผิดอย่างใดตามที่โจทก์กล่าวหา ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้เสียหายเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ตามความหมายในมาตรา 285 และมิพักต้องคำนึงว่า มีการยอมความกันแล้วหรือไม่ ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ทุกข้อหา การที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้นก็ได้ให้การหลังจากผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานแล้ว เมื่อผู้เสียหายเบิกความไม่ใช่เป็นเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา ก็จะฟังให้เป็นข่มขืนไม่ได้ อย่างไรก็ดี แม้จะถือว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพต่อศาลว่าได้กระทำผิดจริงแล้ว ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ก็ดี แต่เมื่อคดีมีการสืบพยานจนปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนให้ศาลเห็นเสียแล้วว่าจำเลยมิได้กระทำผิดดังที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพที่ไม่ต้องกับความจริงนั้นหาได้ไม่
พิพากษายืนในผลให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา และฎีกาของโจทก์ให้ยกเสีย