คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องที่กล่าวเพียงว่า”สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน 57,266.58 บาท” เป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันคนที่ทำละเมิดต่อโจทก์เพิ่อเรียกค่าเสียหายในการละเมิดนั้นเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความของผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68
อายุความเรียกค่าเสียหายในการละเมิดมี 1 ปี เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้จากการละเมิด อายุความก็สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรค 2 อายุความที่เริ่มนับใหม่ก็คือ 1 ปีเช่นเดิม ไม่ใช่ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ค้ำประกันการปฏิบัติหน้าที่ของนายสุพจน์ ชัยประเสริฐ ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ นายสุพจน์ได้ทำเงินสดขาดบัญชีไป ๕๗,๘๒๒.๖๔ บาท จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้จำนวนนี้ให้โจทก์ไว้ และนายสุพจน์ได้ทำให้สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน ๕๗,๒๖๖.๕๘ บาท โจทก์ไม่อาจเรียกให้นายสุพจน์ชำระหนี้ได้ โจทก์จึงเรียกให้จำเลยชำระทั้งหมด
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันนายสุพจน์จริง แต่จำเลยไม่ต้องรับผิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในเรื่องนายสุพจน์ทำสินค้าขาดจำนวนนั้น โจทก์ไม่บรรยายว่าสินค้าที่ขาดหายไปมีอะไรบ้าง จำนวนและราคาเท่าใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมและหนี้เกิดจากมูลละเมิดจำเลยมาฟ้องเกิน ๑ ปี คดีขาดอายุความ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า มูลหนี้ตามฟ้องโจทก์ทุกรายการเกิดจากการที่นายสุพจน์ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ฟ้องภายใน ๑ ปี คดีขาดอายุความแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่า”สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน ๔๗,๒๖๖.๕๘ บาท” นั้น โจทก์มิได้แสดงรายการละเอียดว่าสินค้าที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้าง อย่างไหนจำนวนและราคาเท่าไร อันเป็นสาระสำคัญซึ่งพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ โจทก์จะอ้างว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบรายละเอียดในชั้นพิจารณาหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยก็โดยผลที่นายสุพจน์ทำละเมิดต่อโจทก์ การเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดนั้น ผู้เสียหายจะต้องเรียกร้องภายใน ๑ ปี โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยเมื่อพ้น ๑ ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความซึ่งนายสุพจน์มีต่อโจทก์ขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๔
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามหนังสือที่จำเลยทำไว้ให้โจทก์ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๐๑ ซึ่งเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ในสินค้าที่ขาดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ ต้องใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ศาลฎีกาเห็นว่า หากจะถือว่าหนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ การรับสภาพหนี้ก็ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ เมื่อเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ วรรค ๒ ก็ต้องถืออายุความเดิม เป็นตั้งแต่ต้นนับใหม่ เพราะมาตรา ๑๘๑ วรรค ๒ ใช้คำว่า”ให้เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่” ก็คือเริ่มนับอายุความเดิม ๑ ปีนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่จากวันที่ลงในหนังสือคือวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๐๖ จนถึงวันฟ้อง คือวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ก็เกินกำหนด ๑ ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความเช่นกัน
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share