คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายอำเภอสั่งให้จำเลยที่ 1 จัดการเรื่องเพิกถอนการร้องขอขายที่ดินจัดการใส่ชื่อบุตรโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ 1 ก็ไม่ยอมปฏิบัติ กลับพูดจาเป็นทำนองขู่เข็ญโจทก์ ยิ่งกว่านั้นยังร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 พูดหลอกลวงโจทก์ให้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยบอกว่าเป็นการถอนเรื่องการซื้อขาย โอนชื่อให้เด็กได้ จึงเป็นการส่อแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่า ตั้งใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะโจทก์โอนที่ดินให้บุตรไม่ได้ และถ้าโจทก์ไม่ทราบถึงการหลอกลวงของจำเลยทั้งสามคน หลงเชื่อตาม เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป สิทธิที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตามสัญญาหย่าอาจขาดอายุความได้ นอกจากนั้น จำเลยทั้งสามยังร่วมกันก่อให้เกิดภาระผูกพันกับที่ดิน โดยนำที่ดินไปเป็นหลักประกันในสัญญากู้เงิน และการกระทำของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แต่มิได้เป็นเจ้าพนักงาน จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นสามีภริยา ได้หย่าขาดและแบ่งทรัพย์ซึ่งเป็นที่ดินให้บุตรสองคนคนละครึ่ง โดยให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำการโอนใส่ชื่อบุตรเป็นเจ้าของ จำเลยไม่โอน กลับนำที่ดินไปขายให้จำเลยที่ ๓ โจทก์ทราบจึงร้องคัดค้าน จำเลยที่ ๑ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่เป็นพนักงานที่ดินอำเภอ ได้รับมอบหมายให้ทำการเปรียบเทียบเรื่องที่โจทก์ร้องคัดค้าน ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขู่เข็ญขืนใจหลอกลวงโจทก์ว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ใช้ไม่ได้ตามกฎหมาย โจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินที่ทำสัญญากับจำเลยที่ ๒ ถ้าจะไม่ให้เกิดความผิด ให้โจทก์ลงชื่อรับรู้ในการที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำสัญญาซื้อขายกัน และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ นำกระดาษที่มีข้อความแล้ว ๑ ฉบับมาบังคับขู่เข็ญและหลอกลวงว่า ถ้าโจทก์ลงชื่อในหนังสือแล้ว เท่ากับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ถอนการซื้อขายต่อกัน โจทก์ไม่รู้จักหนังสือไทยและหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงลงชื่อในหนังสือ ทั้งนี้ อันเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้โจทก์ลงชื่อรับรู้เป็นพยานว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้รับเงินต่อกัน หาใช่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการร้องคัดค้านการซื้อขายที่ดินไม่ จำเลยที่ ๑ กระทำลงเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๓๔๑, ๓๔๒, ๓๔๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๔๑, ๓๔๒ ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ข้อหาอื่นไม่มีมูล ให้ยกเสีย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้ใช้อำนาจข่มขืนใจให้โจทก์ลงชื่อในสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ หนังสือสัญญากู้จะทำกันที่ไหน เมื่อใด ไม่ทราบ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำหนังสือสัญญากู้กันที่ตลาดปากถัก โดยโจทก์ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญา ไม่ได้เขียนและทำหนังสือสัญญากู้กันบนที่ว่าการอำเภอกะปง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รู้เห็นในการทำหนังสือสัญญา ที่ดินเป็นของจำเลยที่ ๒ เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ ๒ หย่าขาดจากกัน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยปรปักษ์ โจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องมา ๖ – ๗ ปีแล้ว โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ขายที่ดินให้จำเลยที่ ๓ เมื่ออำเภอรังวัด โจทก์กลับคัดค้านเพื่อเอาที่ดินไปขายให้ผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ หลอกลวงโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ตกลงยินยอมตามข้อไกล่เกลี่ยของนายอำเภอกะปงในเรื่องโจทก์ร้องคัดค้านการจะซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะถอนเรื่องการซื้อขาย และจำเลยที่ ๒ จะโอนที่ดินให้บุตรตามข้อตกลงในสัญญาหย่า แล้วนายอำเภอกะปงให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินอำเภอจัดการดำเนินการตามที่ตกลงกัน แต่จำเลยที่ ๑ มิได้ปฏิบัติการตามหน้าที่ กลับร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ หลอกลวงโจทก์ให้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ โดยบอกว่าเป็นการถอนเรื่องการซื้อขายที่ดิน โจทก์หลงเชื่อจึงลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้เป็นเจ้าพนักงาน จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ และเห็นว่าจำเลยทั้งสามไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีกำหนดคนละ ๘ เดือน นอกจากที่แก้คงพิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และผู้ใหญ่บ้านไปทำการรังวัดที่ดิน โจทก์เคยคัดค้านไม่ให้ทำการรังวัด บอกว่าขายไม่ได้ ยังมีสัญญาผูกพันกันอยู่ และโจทก์เอาสัญญาหย่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และผู้ใหญ่บ้านดู จำเลยที่ ๑ ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน ไม่รับฟังคำคัดค้าน เมื่อนายอำเภอสั่งให้จำเลยที่ ๑ จัดการเรื่องเพิกถอนการร้องขอขายที่ดิน จัดการใส่ชื่อบุตรโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ก็ไม่ยอมปฏิบัติ กลับพูดจาเป็นทำนองขู่เข็ญโจทก์ ยิ่งกว่านั้น ยังร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ พูดหลอกลวงโจทก์ให้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยบอกว่าเป็นการถอนเรื่องการซื้อขาย โอนชื่อให้เด็กได้ จึงเป็นการส่อแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ ๑ ว่าตั้งใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะโจทก์โอนที่ดินให้บุตรไม่ได้ และถ้าโจทก์ไม่ทราบถึงการหลอกลวงของจำเลยทั้งสามคน หลงเชื่อตาม เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป สิทธิที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ปฏิบัติตามสัญญาหย่าอาจขาดอายุความได้ นอกจากนั้น จำเลยทั้งสามยังร่วมกันก่อให้เกิดภาระผูกพันกับที่ดิน โดยนำที่ดินไปเป็นหลักประกันในสัญญากู้เงิน และการกระทำของจำเลยที่ ๑ แสดงให้เห็นว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ แต่มิได้เป็นเจ้าพนักงาน จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิด
พิพากษายืน.

Share