คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6839/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แม้ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยจะได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นหาได้ชำระหนี้ด้วยความสมัครใจไม่ ดังนั้นคู่ความฝ่ายใดจะต้องรับผิดต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรในชั้นที่สุดจึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ทั้งในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวได้ร่วมกันทำสัญญารับเหมาก่อสร้างบ้านกับโจทก์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 83839ตำบลสะพานสูง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครในราคา 1,100,000 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา165,000 บาท ที่เหลือตกลงแบ่งชำระเป็น 4 งวดจำเลยได้ส่งมอบงาน 3 งวดแรก และโจทก์ได้ตรวจรับงานและชำระเงินค่าก่อสร้างให้ไป 605,000 บาท ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2532 จำเลยขอส่งมอบงานงวดที่สามและขอเบิกเงิน 220,000 บาท โจทก์ตรวจรับงานปรากฏว่างานงวดที่ 3 คืองานฉาบปูนภายใน ภายนอกมุงหลังคาเดินท่อน้ำทิ้ง จำเลยยังมิได้มุงหลังคาเดินท่อน้ำทิ้งน้ำเสีย และงานฉาบปูนภายในก็ยังไม่เสร็จโจทก์แจ้งให้ส่งเอกสารประกอบการตรวจรับงานงวดที่สามจำเลยได้ละทิ้งงานขนย้ายสัมภาระและเครื่องมือก่อสร้างออกไป โจทก์ติดต่อให้มาก่อสร้างบ้านต่อแต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย โจทก์ได้รับความเสียหายต้องไปว่าจ้างผู้อื่นมาก่อสร้างบ้านต่อจากจำเลยเป็นเงิน 745,195 บาท ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น415,195 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 415,195 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยละทิ้งงานและทำงานในงวดที่ 3 เสร็จแล้ว เมื่อโจทก์ได้รับใบส่งงานในงวดที่ 3 แล้วก็ไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างงวดดังกล่าวจำเลยที่ 1 ทวงถามแล้ว โจทก์เพิกเฉยจำเลยที่ 1จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์มิได้เสียหายต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมารายใหม่เป็นเงิน 415,195 บาท ทั้งไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยด้วย ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเพราะจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1มิได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1ไปเป็นเงิน 770,000 บาท แล้ว
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การแต่เนื่องจากโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยทั้งสามนี้ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้จำหน่ายคดีจำเลยทั้งสามนี้จากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน282,150 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 3 พฤศจิกายน 2532) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า งานในงวดที่ 3 ได้แก่งานฉาบปูนภายในและภายนอก งานมุงหลังคา เดินท่อประปาและท่อน้ำทิ้งข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำงานแล้วเสร็จและขอส่งมอบงานในงวดที่ 3 ให้โจทก์แล้วแต่โจทก์หาเหตุ>ไม่ยอมรับมอบงานเพื่อประวิงหรือจงใจจะไม่ชำระเงินค่างวดมากกว่าเมื่อโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าก่อสร้างงวดใดงวดหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 1 จึงถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ชอบที่จะหยุดทำการก่อสร้างงานงวดต่อไปและบอกเลิกสัญญาได้ตามข้อ 4 ของสัญญารับเหมาก่อสร้างเอกสารหมาย จ.2 แม้ว่าโจทก์ได้ว่าจ้างบุคคลอื่นก่อสร้างงานที่ค้างอยู่และอ้างว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจำเลยที่ 1ฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าก่อสร้างที่ยังค้างแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 55,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในส่วนนี้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า หนี้ตามฟ้องโจทก์และตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 หรือหนี้ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ระงับแล้วในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เพราะจำเลยที่ 1ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ครบถ้วนแล้วนั้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น หาได้ชำระหนี้ด้วยความสมัครใจไม่คู่ความฝ่ายใดจะต้องรับผิดต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรในชั้นที่สุดต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งทั้งหมดให้แก่โจทก์

Share