คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าภายใน1ปีนับแต่วันนำเข้าแต่ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ได้เปิดตรวจสินค้าแล้วมีความเห็นว่าของที่โจทก์นำเข้าและขอส่งออกไม่ใช่ของรายเดียวกันจึงแจ้งข้อหาโจทก์ว่าสำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากรและยึดผ้าไว้ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปยังเมืองต่างประเทศภายใน1ปีได้นั้นจึงมิใช่ความผิดของโจทก์แต่เป็นเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1กักยึดผ้าของโจทก์ไว้เท่ากับเป็นการไม่อนุญาตให้โจทก์ส่งออกโจทก์จึงมีสิทธิขอคืนเงินอากรขาเข้าเป็นจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง การฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้ผู้ขอคืนเงินภาษีอากรได้รับการคืนเงินภาษีโดยชอบย่อมเป็นคดีเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในมูลละเมิดตามฟ้อง จำเลยที่2ถึงที่4เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ได้ปฏิบัติงานไปตามขั้นตอนมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อการที่มีความเห็นในตอนแรกว่าผ้าที่โจทก์ขอส่งออกมิใช่ของรายเดียวกับที่นำเข้าก็เพราะตรวจพบว่ามีตราคาเนโบติดอยู่ที่เนื้อผ้าแต่ใบขนสินค้าขาเข้าระบุว่าไม่มีตราจึงมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1จึงมีอำนาจกักยึดผ้าของโจทก์ไว้และสั่งดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้นำเข้าผ้าทอด้วยโพลีเอสเตอร์ ชนิดใยยาวย้อมสีไม่ใช่เพื่อผิวสัมผัสเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้า ตลอดจนเสียภาษีอากรขาเข้าครบถ้วน ต่อมาโจทก์ไม่สามารถตัดเย็บผ้าที่นำเข้าเป็นเสื้อสำเร็จรูปได้ทันเพราะปัญหาแรงงานการผลิตในประเทศไทย โจทก์จึงขอส่งผ้าที่นำเข้ากลับออกไปยังเมืองฮ่องกง เพื่อส่งต่อไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ทำการตัดเย็บแทน และขอคืนเงินอากรได้ยื่นใบขนสินค้าขาออก แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมให้โจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวออกไปนอกราชอาณาจักรโดยอ้างว่าผ้าที่โจทก์ส่งออกมิใช่ของรายเดียวกันกับที่นำเข้า ต่อมาจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าโจทก์สำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากร จะเปรียบเทียบปรับโจทก์และให้ผ้าตกเป็นของแผ่นดินขอให้โจทก์ไปทำความตกลงระงับคดี โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของจำเลยที่ 3 ว่ากรณีของโจทก์ไม่เป็นความผิดและขอให้จำเลยตรวจพิสูจน์ผ้าที่ส่งออกกับที่นำเข้าจากตัวอย่างสินค้าที่แนบติดใบขนสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออกว่าเป็นรายเดียวกัน แต่จำเลยก็เพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายเพราะหากโจทก์ส่งสินค้ากลับออกไปนอกราชอาณาจักร จำเลยที่ 1 จะต้องคืนเงินอากรขาเข้าให้โจทก์ พร้อมเสียดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 164,866 บาท และจำเลยทั้งสี่จะต้องร่วมกันคืนผ้าที่โจทก์ขอส่งออกให้โจทก์ นอกจากนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่สั่งยึดผ้าไว้ในครอบครองเกือบ 2 ปีทำให้บริษัทเชิ้ตเฮ้ามอนทรีออล จำกัด ประเทศแคนาดาเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ตัวผ้าซึ่งเสื่อมคุณภาพไม่สามารถนำมาใช้ได้และไม่เป็นที่ต้องการของตลาดซึ่งถือว่าไร้ประโยชน์ทั้งหมด และค่าเสียหายเนื่องจากไม่สามารถส่งผ้าออกไปตัดเย็บทางเมืองฮ่องกงสู่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทันกำหนด นอกจากนั้นโจทก์ยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียในทางการค้ารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,444,866 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,444,866 บาท พร้อมดอกเบี้ย นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่22 พฤษภาคม 2532 โจทก์ได้นำผ้าจำนวน 8 หีบห่อ หนัก 451 กิโลกรัมเข้ามาในราชอาณาจักรชำระค่าภาษีอากรเป็นเงิน 150,034 บาท ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2532 โจทก์ได้ขอส่งสินค้ารายเดียวกันทั้งหมดที่นำเข้ามาออกนอกราชอาณาจักรและขอคืนเงินอากรขาเข้า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ตรวจพบว่าสินค้าผ้าที่โจทก์ขอส่งออกไปนอกราชอาณาจักรมีตราราคาเนโบที่เนื้อผ้าไม่ตรงตามที่สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าและใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้า จึงไม่อนุญาตให้โจทก์ส่งผ้ากลับออกไปนอกราชอาณาจักรและไม่คืนเงินอากรขาเข้าให้ตามกฎหมาย ทั้งได้พิจารณาดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในฐานสำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากร โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านและขอให้ตรวจวิเคราะห์สินค้าผลการตรวจปรากฏเป็นผ้าทอด้วยโพลีเอสเตอร์ ตรงตามตัวอย่างจำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งคืนของกลางรายนี้และยกเลิกดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ แต่การขอคืนเงินอากรเกิน 1 ปี จึงไม่อนุญาตจ่ายคืนให้
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1จะต้องคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19 บัญญัติว่า ของใดที่พิสูจน์เป็นที่พอใจว่า เป็นของรายเกี่ยวกันกับที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเสียอากรแล้ว ถ้าส่งกลับออกไปยังเมืองต่างประเทศให้คืนเงินอากรขาเข้าให้แก่ผู้นำเข้า ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ค) ของนั้นได้ส่งกลับออกไปภายในหนึ่งปีนับแต่วันนำเข้าและ (ง) ต้องขอคืนเงินอากรภายในหกเดือนนับแต่วันส่งของนั้นกลับออกไปได้ความว่า โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าแบบรีเอ็กซ์ปอร์ตเลขที่ 1092-14966 ลงวันที่22 กันยายน 2532 ต่อจำเลยที่ 1 จึงเป็นการยื่นภายใน 1 ปีนับแต่วันนำเข้าคือวันที่ 22 พฤษภาคม 2532 แต่ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้เปิดตรวจสินค้าแล้วมีความเห็นว่าของที่โจทก์นำเข้าและขอส่งออกไม่ใช่ของรายเดียวกันจึงแจ้งข้อหาโจทก์ว่าสำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากรและยึดผ้าไว้ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ในชั้นศุลกากรได้มีการตรวจวิเคราะห์สินค้าที่โจทก์นำเข้าและส่งออกซึ่งผลการตรวจปรากฏว่าเป็นของรายเดียวกันจึงระงับคดีอาญาแก่โจทก์ ตามบันทึกข้อความลงวันที่ 5 เมษายน 2534ดังนั้น การที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปยังเมืองต่างประเทศภายใน 1 ปี ได้นั้น จึงมิใช่ความผิดของโจทก์ แต่เป็นเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กักยึดผ้าของโจทก์ไว้เท่ากับเป็นการไม่อนุญาตให้โจทก์ส่งออก โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนเงินอากรขาเข้าเป็นจำนวนเงินเก้าในสิบส่วนหรือส่วนที่เกิน1,000 บาท ของจำนวนที่ได้เรียกเก็บไว้ แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19ปรากฏว่าจำนวนเงินที่เรียกเก็บไว้แล้ว 150,034 บาท โจทก์จึงมีสิทธิรับคืน 149,034 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายต่อศาลภาษีอากรกลางหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 7 บัญญัติว่า
“ศาลภาษีอากรมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งในเรื่องต่อไปนี้
(3) คดี พิพาท เกี่ยวกับ การ ขอ คืน ค่าภาษีอากร”
ดังนั้นการฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้ผู้ขอคืนเงินภาษีอากรได้รับการคืนเงินภาษีโดยชอบย่อมเป็นคดีเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในมูลละเมิดตามฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า จำเลยทั้งสี่จะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติงานไปตามขั้นตอน มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มีความเห็นในตอนแรกว่าผ้าที่โจทก์ขอส่งออกมิใช่ของรายเดียวกับที่นำเข้าก็เพราะตรวจพบว่า มีตราราคาเนโบติดอยู่ที่เนื้อผ้า แต่ใบขนสินค้าขาเข้าระบุว่าไม่มีตราจึงมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจกักยึดผ้าของโจทก์ไว้และสั่งดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 99 และ 60การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ สำหรับประเด็นที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตัวผ้าซึ่งอ้างว่าขณะนี้เสื่อมคุณภาพไม่สามารถนำมาใช้ได้และไม่เป็นที่ต้องการของตลาดซึ่งถือว่าไร้ประโยชน์ทั้งหมด ค่าเสียหายเนื่องจากไม่สามารถส่งผ้ากลับออกไปตัดเย็บได้ทันกำหนด ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขาดประโยชน์ทางการค้าของโจทก์นั้น ก็สืบเนื่องมาจากการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กักยึดผ้าของโจทก์ไว้ ตามคำฟ้องไม่ได้กล่าวอ้างว่าผ้าของโจทก์เสียหายเพราะจำเลยทั้งสี่จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการเก็บรักษาไว้ไม่ดีเมื่อวินิจฉัยมาแล้วว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่กักยึดผ้าไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินอากรขาเข้าให้โจทก์เป็นเงิน 149,034 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 15,832 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share