คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6827/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อยาเม็ดของกลางซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและยึดได้จากจำเลย มีลักษณะและสีกับทั้งรายละเอียดอื่น ๆ บนเม็ดยาแตกต่างจากยาเม็ดของกลางซึ่งพนักงานสอบสวนส่งไปตรวจวิเคราะห์และพบว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน ดังนี้ ยาเม็ดของกลางที่ถูกส่งไปตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงมิใช่ยาเม็ดของกลางที่จับและยึดได้จากจำเลย กรณีจึงไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่ายาเม็ดของกลางในคดีเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการจับกุมจำเลยและพนักงานสอบสวนเอง ก็ไม่สามารถยืนยันในประเด็นเดียวกันนี้ได้ เช่นนี้ต้องถือว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรจึงต้องยกประโยชน์ความสงสัยนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 13 ทวิ, 89, 116 และคืนเงินของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ลงโทษจำคุก5 ปี คืนธนบัตรของกลางจำนวน 180 บาท แก่เจ้าของ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนธนบัตรของกลางให้แก่เจ้าของ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดธนบัตรจำนวน 180 บาท จากจำเลยเป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด ไว้เพื่อขายและได้ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ผู้มีชื่อไปจำนวน 5 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าว ซึ่งในการเข้าจับจำเลย ร้อยตำรวจตรีวิชิตผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่า ได้วางแผนจับกุมโดยวิธีล่อซื้อและได้นำธนบัตรไปลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายธนบัตรหมาย จ.2 แล้วให้สายลับไปล่อซื้อเห็นจำเลยและสายลับส่งและรับสิ่งของต่อกัน ไม่ทราบว่าสิ่งของดังกล่าวคือสิ่งใด แล้วสายลับนำห่อกระดาษมาให้พยานพยานเปิดดูเป็นยาเม็ดกลมแบน สีน้ำตาล มีจุดกระสีขาว มีอักษรเขียนว่า เอ็ม ติดอยู่บนยาเม็ดนั้น จำนวน 5 เม็ด จึงเข้าไปตรวจค้นและจับจำเลยซึ่งอยู่ในบ้านพบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 3 เม็ด แจ้งข้อหาว่า จำเลยลักลอบขายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่รับอนุญาตจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิด ธนบัตรที่ค้นได้จากจำเลยนั้น มีผู้นำมาฝากจำเลยไว้เพื่อนำไปให้ใช้หนี้ผู้อื่นและนายดาบตำรวจสุรชาติผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่า สายลับได้เข้าไปที่บ้านจำเลยโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ร้อยตำรวจเอกโอสือ เหลืองสกุลพนักงานสอบสวนเบิกความว่า ร้อยตำรวจตรีวิชิตกับพวกจับจำเลยพร้อมของกลางมามอบให้ พยานรับตัวไว้และจัดทำบัญชีของกลางตามเอกสารหมาย จ.5 และได้จัดส่งยาเม็ดของกลางไปตรวจพิสูจน์ แต่ในการสอบสวนไม่ได้บันทึกว่า ของกลางที่สายลับได้จากจำเลยและนำมามอบให้กับผู้ดูแลการล่อซื้อซึ่งเป็นผู้จับจะเป็นของกลางรายเดียวกันหรือไม่ เห็นได้ว่า สายลับที่ไปล่อซื้อมี 2 คนในการไปล่อซื้อนั้นมิได้กระทำเฉพาะกับจำเลยเท่านั้น โดยเห็นได้จากธนบัตรที่เตรียมไว้ใช้ในการล่อซื้อซึ่งลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 มีมากกว่าจำนวนที่นำไปล่อซื้อจากจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 ดังนั้นเมื่อจับผู้ต้องหาพร้อมของกลางมา ของกลางที่ยึดได้จากจำเลยและสายลับไปล่อซื้อจากจำเลยมาจะใช่เมทแอมเฟตามีนหรือไม่ โดยนายดาบตำรวจสุรชาติผู้จับกุมเบิกความว่า สิ่งของที่สายลับส่งให้แก่ร้อยตำรวจตรีวิชิตเป็นยาเม็ดแบนสีน้ำตาล มีจุดกระสีขาวจำนวน 5 เม็ด และเมทแอมเฟตามีนที่พบอยู่ใต้หมอนอีก 3 เม็ด มีลักษณะคล้ายกับสิ่งของที่สายลับส่งให้ แต่ตามรายงานการตรวจวิเคราะห์ของกลางที่ร้อยตำรวจเอกโอสือ พนักงานสอบสวนส่งไปตรวจคดีนี้กลับปรากฏว่าของกลางเป็นเม็ดกลมแบนสีส้มมีจุดกระสีน้ำตาล ด้านหนึ่งมีอักษรเอ็ม อีกด้านหนึ่งมีเลข 99 จำนวน 8 เม็ด ซึ่งลักษณะและสีต่างกันอย่างชัดแจ้ง จึงมิใช่ของกลางที่จับและยึดไว้ในคดีนี้ ผลการตรวจวิเคราะห์ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ว่า เป็นเมทแอมเฟตามีนจึงมิใช่ของกลางคดีนี้ เมื่อผลการตรวจพิสูจน์เป็นของกลางคนละจำนวนกับที่ยึดมาจากการจับกุม มิใช่ของกลางคดีนี้จึงไม่อาจยืนยันได้ว่า ของกลางที่ยึดมาได้เป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ทั้งผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนก็ไม่อาจทราบได้ว่า เป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นเมื่อถูกจับทั้งยาเม็ดและธนบัตรของกลางว่าไม่ได้มาจากการกระทำผิดพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจชี้ชัดว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share