แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทขอให้ขับไล่จำเลย จำเลย ให้การว่า มารดาของจำเลยได้ครอบครองสร้างบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาถึง 36 ปีที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดาจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระ ตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 แต่จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาสั่งต่อไปศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะสั่งว่า จำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 แต่ศาลอุทธรณ์กลับสั่งว่าคดีของจำเลยมีทุนทรัพย์ ให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ แล้วให้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 243 ประกอบมาตรา 247 ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้เห็นสมควรยกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และยกฎีกา ของจำเลย
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้าน เลขที่ 75พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11114 และ11571 และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่าคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง จึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งใจความว่า คดีโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์410,000 บาท เมื่อจำเลยแพ้คดี จำเลยอุทธรณ์ คดีของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจะต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อัตราร้อยละ 2.5 จากทุนทรัพย์ 410,000 บาท จำนวน 10,250 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลไว้เพียง 300 บาท ยังขาดอีก 9,950 บาท เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นจะต้องเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนก่อนแล้วจึงสั่งอุทธรณ์ แม้จำเลยไม่วางเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาเป็นรายเดือนหรือหาประกันให้ไว้ในการยื่นอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นควรสั่งอุทธรณ์จำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดจำนวน 9,950 บาท ในเวลาที่กำหนด แล้วมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก
จำเลยฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะประเด็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ใจความว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 75 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11571 และในที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 11114 จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทแท้จริงเพียง 142,800 บาท จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 3,570 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลไว้แล้ว 300 บาทจึงต้องเสียอีก 3,270 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่า เป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดเลขที่ 11114 และโฉนดเลขที่ 11571 จำเลยให้การว่ามารดาของจำเลยได้ครอบครองสร้างบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 36 ปี ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 แต่จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจที่จะสั่งว่า จำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับสั่งว่าคดีของจำเลยมีทุนทรัพย์ให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ แล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามมาตรา 243 ประกอบมาตรา 247 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนั้น ฎีกาของจำเลยเรื่องจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไป”
พิพากษายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลย