คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำสั่งของโจทก์ที่ 1 ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งจะเป็นอำนาจเด็ดขาดของโจทก์ที่ 1 แต่ก็มีผลผูกพันจำเลยเฉพาะผลคำวินิจฉัยที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยอันเนื่องมาจากโจทก์ที่ 1 เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และมีผลเฉพาะหน้าในขณะนั้น อันเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 52/2546 ที่โจทก์ทั้งสองอ้างมิได้วินิจฉัยถึงความเป็นที่สุดแห่งคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง รูปเรื่องย่อมต่างจากคดีนี้ จึงไม่มีผลผูกพันศาลในการวินิจฉัยเกี่ยวกับคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย
การฟ้องผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้ต้องรับผิดในค่าเสียหายอันเกิดจากการให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นการฟ้องร้องให้รับผิดในทางแพ่งที่มีเหตุมาจากการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้สนับสนุนให้ตัวแทน (หัวคะแนน) หาเสียงให้จำเลยโดยการแจกเงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ซึ่งคู่ความต้องนำสืบพยานหลักฐานตามข้ออ้างและข้อเถียงของตนเพื่อให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป มาตรา 99 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด เมื่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ก็ย่อมไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่า จำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 523,691.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยและให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ รวมทั้งคำสั่งที่เกี่ยวข้องและให้จำเลยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทั้งสองและฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จำเลยซึ่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้รับเลือกตั้ง และโจทก์ที่ 1 ประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว แต่มีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงมีการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ต่อมาโจทก์ที่ 1 เห็นว่าจำเลยมีส่วนสนับสนุนในการแจกเงินเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ โดยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนไม่เกินค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ และได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว โดยเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ 523,691.80 บาท โจทก์ที่ 2 มีหนังสือทวงถามจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่จำเลยเพิกเฉยมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า การที่โจทก์ที่ 1 มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ จึงถือเป็นที่สุด และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการที่โจทก์ที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไว้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 52/2546 ซึ่งเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันศาลนั้นเห็นว่า แม้คำสั่งของโจทก์ที่ 1 ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งจะเป็นอำนาจเด็ดขาดของโจทก์ที่ 1 แต่ก็มีผลผูกพันจำเลยเฉพาะผลคำวินิจฉัยที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยอันเนื่องมาจากโจทก์ที่ 1 เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และมีผลเฉพาะหน้าในขณะนั้น อันเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 52/2546 ที่โจทก์ทั้งสองอ้าง มิได้วินิจฉัยถึงความเป็นที่สุดแห่งคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง รูปเรื่องย่อมต่างจากคดีนี้ จึงไม่มีผลผูกพันศาลในการวินิจฉัยเกี่ยวกับคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ที่ 1 กำหนด แต่ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 นั้น เห็นว่าการฟ้องผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้ต้องรับผิดในค่าเสียหายอันเกิดจากการให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นการฟ้องร้องให้รับผิดในทางแพ่งที่มีเหตุมาจากการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้สนับสนุนให้ตัวแทน (หัวคะแนน) หาเสียงให้จำเลยโดยการแจกเงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ซึ่งคู่ความต้องนำสืบพยานหลักฐานตามข้ออ้างและข้อเถียงของตนเพื่อให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป มาตรา 99 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด เมื่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ก็ย่อมไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่า จำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ยกฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีฟ้องแย้งที่ต้องพิจารณาวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นยังคงวินิจฉัยและพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้แก้ไข จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง นอกจากนี้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา โจทก์ที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลในส่วนของฟ้องแย้งมาทั้งที่ไม่จำต้องเสีย จึงสมควรสั่งคืนให้เสียด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนของฟ้องแย้งแก่โจทก์ที่ 2

Share