คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินของจำเลย ย่อมเป็นการทำนิติกรรมที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินให้เป็นทรัพย์สิทธิอันบริบูรณ์ตามกฎหมายได้ตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้โอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่น และสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยประนีประนอมยอมความเช่นนี้ มีกำหนดอายุความ 10 ปี
ตั้งแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิเก็บกินตลอดมา ดังนี้ย่อมถือว่าจำเลยได้ทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ อายุความฟ้องร้องของโจทก์จึงยังไม่เริ่มนับ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรโจทก์และเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 8704 จำเลยทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินดังกล่าวจนตลอดชีวิต เนื่องจากสิทธิเก็บกินที่โจทก์ได้มาดังกล่าวไม่บริบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์ขอร้องให้จำเลยไปจดทะเบียนหลายครั้ง จำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมาขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินในที่ดินตามฟ้อง

จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินของจำเลย สัญญาที่โจทก์อ้างนั้นเกี่ยวกับเรื่องอื่นและเกิดขึ้นโดยการบังคับขู่เข็ญของโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับจำเลย โจทก์ฟ้องให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินเมื่อเกิน 10 ปีแล้ว ฟ้องจึงขาดอายุความ จำเลยให้โจทก์อยู่ในที่ดินดังกล่าวอย่างปกติสุขดีอยู่แล้วแม้จะอยู่โดยปราศจากสิทธิ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่าโจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 10 ปีนับแต่วันทำสัญญาคดีขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยเป็นการยอมรับอยู่ในตัวว่าโจทก์ได้เข้าใช้สิทธิเก็บกินในที่ดินของจำเลยตั้งแต่วันทำสัญญาตลอดมา สิทธิร้องขอให้จดทะเบียนเพื่อให้การได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้บริบูรณ์ย่อมเกิดขึ้นและมีอยู่กับโจทก์ตราบเท่าที่โจทก์ยังใช้สิทธิเก็บกินอยู่ อายุความยังไม่เริ่มนับฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินตลอดชีวิตของโจทก์ในที่ดินของจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2498 การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินของจำเลยเช่นนี้เป็นการทำนิติกรรมที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้น และเมื่อได้จดทะเบียนแล้ว การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งสิทธิเก็บกินอันเป็นทรัพยสิทธิก็ย่อมบริบูรณ์ตามกฎหมาย สิทธิของโจทก์ตามนิติกรรมสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ เป็นสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่กรณี ตราบใดที่จำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินยังมิได้โอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่นและจำเลยผิดสัญญาไม่ไปจดทะเบียนให้ตามสัญญา โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 168 สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยประนีประนอมยอมความนั้นให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี และตามมาตรา 169 ให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป

แม้โจทก์จะเพิ่งยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2511 ก็ตาม แต่ปรากฏว่าคำให้การของจำเลยยอมรับอยู่ในตัวว่าโจทก์ได้เข้าใช้สิทธิเก็บกินในที่ดินโดยความยินยอมของจำเลยตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดมา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยยอมให้โจทก์ได้เข้าใช้สิทธิเก็บกินในที่ดินตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดมานั้น เป็นการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามสิทธิเรียกร้องได้ทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 แล้ว อายุความฟ้องร้องของโจทก์จึงสะดุดหยุดลง และตามมาตรา 181 วรรค 2 ตราบใดที่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นยังไม่สุดสิ้น อายุความก็ยังไม่เริ่มนับ ฉะนั้นฟ้องของโจทก์จึงหาขาดอายุความไม่

พิพากษายืน

Share